วิธีการ รักษาเริมที่ริมฝีปาก

ดาวน์โหลดบทความ

ดาวน์โหลดบทความ

ภายในบทความนี้:

จัดการกับเริม

ระบุอาการและป้องกันเริม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้ออ้างอิง

นี่เป็นเรื่องที่คุณอาจจะไม่รู้เลยว่าเริมนั้นเป็นอาการหนึ่งของการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า herpes simplex virus (HSV) แม้ว่าบางคนที่ติดเชื้อ HSV ไม่มีอาการอะไร แต่บางคนก็จะมีเริมขึ้น ซึ่งก็จะเป็นตุ่มใสๆ ที่มีของเหลวด้านในซึ่งปกติแล้วจะอยู่รอบๆ ปากและริมฝีปาก ตุ่มใสที่น่ารำคาญเช่นนี้สามารถแตกได้ แต่มันจะสมานเอง แม้ว่าจะไม่มีการรักษาการติดเชื้อ HSV แต่ก็มียาที่จะช่วยทำให้เริมหายเร็วขึ้นและลดโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นมาบ่อยๆ

ขั้นตอน

ส่วน 1

ส่วน 1 ของ 2:

จัดการกับเริม

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ใช้ครีมที่ซื้อตามร้านขายยารักษาเริม. ยาที่ใช้รักษาเริมที่ซื้อตามร้านขายยานั้นจะช่วยลดระยะเวลาที่เป็นเริม แม้ว่ามันจะใช้ได้ผลหากคุณทามันตั้งแต่มีสัญญาณแรกๆ ว่าจะมีเริมขึ้นมาเท่านั้น เมื่อคุณสังเกตว่ามีอาการคล้ายเข็มทิ่ม ให้ทาครีมหรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของ docosanol ครีมอื่นๆ ที่มี benzocaine หรือ lidocaine ก็สามารถบรรเทาอาการเจ็บ ลดอาการของเริม และปกป้องผิวหนังของคุณ มันอาจจะมีแอลกอฮอล์ที่จะทำให้ตุ่มใสนั้นแห้งและทำให้สมานเร็วขึ้น

   • ระลึกว่าครีมที่ใช้ทาเริมที่ซื้อตามร้านขายยานั้นอาจจะแพงและได้ผลเพียงแค่ลดระยะเวลาลงนิดหน่อย (2-3 ชั่วโมงไปจนถึง 1 วัน).
2. 
   2
   ประคบเย็น. นำผ้าสะอาดไปชุบน้ำ บิดน้ำออก และนำมาวางประคบบริเวณที่จะเกิดเริม หรือคุณอาจจะใส่ก้อนน้ำแข็งลงไปในถุงประคบและใช้ประคบบริเวณนั้น ใช้ผ้าหรือถุงประคบที่บริเวณนั้น 20 นาที การประคบเย็นจะลดอาการแดงและช่วยให้มันสมาน

   • หากคุณใช้ผ้าชุบน้ำประคบ มันจะช่วยขจัดผิวหนังที่แตกลอกซึ่งมักจะเกิดขึ้นพร้อมเริม
   • เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายเนื้อเยื่อของผิวบริเวณนั้น อย่าใช้น้ำแข็งประคบไปตรงๆ ให้แน่ใจเสมอว่ามีผ้ากั้นระหว่างผิวหนังของคุณกับน้ำแข็ง
3. 
   3
   ปกป้องริมฝีปากและผิว. เริมนั้นจะทำให้ปากและริมฝีปากของคุณแห้ง ดังนั้นจึงควรทากันแดดหรือลิปบาร์มที่มีส่วนผสมของ zinc oxide มันจะช่วยปกป้องผิวหนังบริเวณนั้นไม่ให้เสียหายเพิ่ม หากคุณสังเกตว่าผิวหนังตรงนั้นแห้ง ให้ทาครีมมอยเจอร์ไรเซอร์

   • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหรือปากที่มีสารกันแดดหากแพทย์จ่ายยา acyclovir ที่สำหรับใช้ภายนอก มันเป็นยาที่ใช้รักษาเชื้อ HSV
4. 
   4
   ใช้ยาทาภายนอก. ยาที่สามารถลองใช้ได้มีดังนี้

   • โปรพอลิส (Propolis): ทาขี้ผึ้งสังเคราะห์ซึ่งอยู่ในรูปแบบของครีม (3%) มันจะช่วยลดความรุนแรงและลดระยะเวลาที่เป็นเริม
   • ซิงค์สำหรับทาภายนอก: งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่าการทาครีม zinc oxide จะช่วยลดระยะเวลาของการเกิดเริม อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก
5. 
   5
   รู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์. ติดต่อกับแพทย์หากคุณมีปัญหาสุขภาพที่จะลดความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อ (เช่นติดเชื้อ HIV โรคภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือทำการคีโม) หรืออาการของคุณจะรุนแรงและไม่หายไปหลังจาก 2 อาทิตย์ หรือคุณมีตุ่มหรือเจ็บใกล้ๆ ตา แพทย์อาจจะจ่ายยาต้านเชื้อไวรัส หากเริมที่เป็นนั้นรุนแรง เจ็บมาก หรือคุณมีความเสี่ยงที่จะส่งผ่านเชื้อ HSV ยาต้านไวรัสได้แก่

   • Acyclovir
   • Valacyclovir
   • Famciclovir
   • Penciclovir
   โฆษณา

ส่วน 2

ส่วน 2 ของ 2:

ระบุอาการและป้องกันเริม

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ดูอาการของเริม. ก่อนที่คุณจะสังเกตว่ามีเริม (ตุ่มใสมีของเหลวด้านใน) คุณจะรู้สึกเจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่ม แสบร้อน หรือคันรอบปากและริมฝีปาก ผิวหนังบริเวณนี้อาจจะบวมและแดงด้วย อีก 24-48 ชั่วโมงต่อมา จะมีตุ่มใสเล็กๆ ปรากฎขึ้นที่มุมปาก มันจะขยายและรวมกลุ่มกัน และแตกออก ทำให้เป็นแผลเปิดและตกสะเก็ด ต่อมามันจะสมานกันเอง ปกติแล้วเริมจะหายภายใน 1-3 อาทิตย์ขึ้นอยู่ว่ามันเป็นครั้งแรกที่คุณเป็นเริมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เริมอาจจะยังอยู่ถึง 6 อาทิตย์เลยก็ได้

   • การเป็นเริมครั้งแรกของคุณอาจจะมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยได้แก่ เป็นไข้ ปวดหัว เจ็บเหงือก เจ็บคอ ส่วนการเป็นเริมครั้งต่อไปมักจะเกิดที่เดิมแต่จะไม่รุนแรง
2. 
   2
   เรียนรู้สาเหตุของเริม. เริมนั้นเกิดจากการไวรัสที่มีชื่อว่า herpes simplex virus (HSV) ซึ่งเป็นไวรัสที่พบได้ทั่วโลกและสามารถติดต่อกันได้ เชื้อ HSV นั้นมี 2 ประเภท นั่นคือ HSV-1 ที่ทำให้เกิดเริมรอบปาก ส่วน HSV-2 ปกติแล้วจะทำให้เป็นเริมที่อวัยวะเพศ (อย่างไรก็ตาม HSV-1 ก็สามารถทำให้เป็นเริมที่อวัยวะเพศได้) เชื้อ HSV-1 จะติดต่อผ่านการสัมผัสที่ผิวหนังเช่น การจูบ หรือการใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารหรือแก้วน้ำร่วมกัน การติดเชื้อไวรัสนี้เป็นเรื่องปกติและมีรายงานว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันมากถึง 90% เคยติดเชื้อนี้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้วจะมีอาการปรากฏออกมา

   • หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก ไวรัสจะไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตาม HSV-1 สามารถกลับมาแสดงอาการได้อีกครั้งซึ่งจะทำให้มีเริมปะทุอีก
3. 
   3
   ทำความเข้าใจสิ่งกระตุ้นและปัจจัยเสี่ยงสำหรับอาการแทรกซ้อน. ปกติแล้ว HSV-1 นั้นไม่อันตราย อย่างไรก็ตาม หากระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอ (เพราะว่าการติดเชื้อ HIV หรือเอดส์ มีแผลไหม้ มีการรักษาและใช้ยาเพื่อปลูกถ่ายอวัยวะ การทำคีโม) คุณก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง อาการแทรกซ้อนได้แก่การที่เชื้อ HSV-1 แพร่ไปยังผิวหนังบริเวณอื่น การติดเชื้อที่ตาอาจจะทำให้ตาบอด หรืออาการแทรกซ้อนที่อวัยวะอื่น คุณควรสนใจสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้ไวรัสแสดงอาการอีกครั้ง ซึ่งได้แก่สิ่งเหล่านี้

   • ไข้
   • ไข้หวัด
   • ความเครียด
   • การเผชิญกับแสงแดด
   • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (เช่นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกี่ยวกับรอบเดือน)
   • อาการอ่อนแรง
     • หากคุณมีปัญหาสุขภาพที่จะลดความสามารถที่จะจัดการกับอาการติดเชื้อ ให้ไปพบแพทย์หากคุณคิดว่าคุณติดเชื้อ HSV
4. 
   4
   ป้องกันการแพร่เชื้อ HSV. เชื้อ HSV นั้นติดต่อกันง่ายและขณะที่ HSV-1 มักจะเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บที่ปาก มันสามารถทำให้เป็นเริมที่อวัยวะเพศได้ด้วย ในการป้องกันการเผยแพร่เชื้อ HSV คุณควรปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้

   • หลีกเลี่ยงการจูบกับผู้ที่มีเริม
   • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน (เช่น ผ้าขนหนู ลิปบาล์ม ผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาด)
   • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารและแก้วน้ำร่วมกัน
   • รักษาความสะอาดของมือด้วยการล้างมือบ่อยๆ
   • ระวังการสัมผัสดวงตาหรืออวัยวะเพศ
   • หลีกเลี่ยงการทำออรัลเซ็กส์
   โฆษณา