วิธีการ อบอุ่นร่างกายก่อนวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความ

การกระตุ้นกล้ามเนื้อให้พร้อมสำหรับการวิ่งไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานมากนัก แค่เพียงคุณอบอุ่นร่างกายเบาๆ ก็สามารถช่วยป้องกันการได้รับบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งของคุณได้ ดังนั้นก่อนเริ่มวิ่งทุกครั้ง ให้คุณทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเบาๆ อย่างการวิ่งเหยาะหรือการกระโดดตบและตามด้วยการขยับกล้ามเนื้อและข้อต่อให้เต็มพิสัยการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและเป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนที่จะออกแรงวิ่งเต็มที่[1] นอกจากนี้หากคุณมีอาการบาดเจ็บที่หน้าแข้งจากการวิ่ง บทความนี้ได้รวบรวมวิธีการรักษาและป้องกันการบาดเจ็บเอาไว้เช่นเดียวกัน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

อบอุ่นร่างกายด้วยท่าออกกำลังกายคาร์ดิโอเบาๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 วิ่งเหยาะๆ.
    การวิ่งเหยาะเพียง 10 นาทีก็สามารถช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมมากขึ้นสำหรับการวิ่งได้ หรือการเดินเร็วสักครู่หนึ่งก่อนเริ่มออกวิ่งก็สามารถช่วยอบอุ่นร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน[2]
    • อย่าเพิ่งเริ่มออกวิ่งทันทีหากยังไม่ได้อบอุ่นร่างกายด้วยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเบาๆ ตามที่ระบุไว้ในวิธีการส่วนนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสูบฉีดของเลือดและทำให้อุณหภูมิของกล้ามเนื้อเพิ่มสูงขึ้น
    • หากต้องการอบอุ่นร่างกายด้วยการเดิน ให้คุณเร่งจังหวะในการเดินแต่ละก้าวให้เร็วขึ้นกว่าปกติและแกว่งแขนในลักษณะเดียวกับตอนที่คุณกำลังวิ่ง[3]
    • วิ่งเหยาะหรือเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณเริ่มขยับร่างกายได้เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการวิ่งเหยาะนานจนเกินไปในระหว่างการอบอุ่นร่างกาย เนื่องจากนักวิ่งหลายๆ คนจะรู้สึกเหนื่อยล้าภายหลังการวิ่งเหยาะผ่านไปประมาณ 25 นาที[4]
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ฝึกท่า Butt kick...
    ฝึกท่า Butt kick และท่า High knees เพื่อเพิ่มพิสัยของการเคลื่อนไหวของขา. ในการฝึกท่า High knees ให้คุณยกหัวเข่าขึ้นมาทางด้านหน้าให้สูงที่สุดด้วยจังหวะปานกลาง ส่วนสำหรับการฝึกท่า Butt kick ที่มีการขยับเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับท่า High knees ให้คุณเตะขาไปทางด้านหลังให้สูงที่สุดจนเกือบแตะถึงสะโพก[5]
    • ท่า Butt kicks และท่า High knees เป็นท่าบริหารที่ยอดเยี่ยมในการขยับเคลื่อนไหวข้อต่อสะโพกที่สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่บริเวณรอบๆ กระดูกอ่อนและคลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันให้ขยับได้ง่ายยิ่งขึ้น
  3. How.com.vn ไท: Step 3 กระโดดเชือกแทนการวิ่งเหยาะ.
    เพื่อเป็นการเสริมสร้างความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดมากยิ่งขึ้น คุณยังสามารถกระโดดเชือกควบคู่ไปกับการวิ่งเหยาะๆ ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นท่าออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ยอดเยี่ยมสำหรับการอบอุ่นร่างกายแล้ว การกระโดดเชือกยังช่วยให้คุณได้บริหารลำตัวช่วงบนและแขนทั้งสองข้างเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่งของคุณอีกด้วย[6]
    • ในระหว่างกระโดดเชือก ให้คุณลงน้ำหนักลงไปที่ส่วนหน้าเท้าและแกว่งเชือกโดยใช้การหมุนข้อมือเท่านั้น (หลีกเลี่ยงการใช้หัวไหล่หรือแขน)[7]
  4. How.com.vn ไท: Step 4 กระโดดตบ.
    เนื่องจากการกระโดดตบสามารถทำได้แทบทุกที่ จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับใช้ในการอบอุ่นร่างกายก่อนเริ่มต้นการออกกำลังกายต่างๆ ถึงอย่างนั้นก็ตามการกระโดดตบเป็นท่าออกกำลังกายที่ใช้แรงมากกว่าที่คิด พยายามดันหัวไหล่ไปทางด้านหลัง รักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรง และเหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตึงตลอดช่วงการกระโดดตบของคุณ[8]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหวก่อนเริ่มออกวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 หลีกเลี่ยงการยืดเหยียดแบบอยู่กับที่ก่อนการวิ่ง....
    หลีกเลี่ยงการยืดเหยียดแบบอยู่กับที่ก่อนการวิ่ง. การยืดเหยียดแบบอยู่กับที่ (Static stretching) ก่อนเริ่มออกวิ่งอาจเสี่ยงต่อการทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงจนเกินไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากกล้ามเนื้อยังคงไม่ได้รับการกระตุ้นให้อุ่นขึ้น กล้ามเนื้อของคุณจึงไม่มีออกซิเจนและเลือดมาหล่อเลี้ยงมากพอจนนำไปสู่การได้รับบาดเจ็บและทำให้การออกกำลังกายเกิดการติดขัดได้ ดังนั้นคุณจึงควรอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งด้วยการยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหว (Dynamic stretching) ด้วยท่าออกกำลังกายต่างๆ (เช่น ท่าลันจ์) ที่มีการขยับเคลื่อนไหวของร่างกายทั่วทุกส่วน[9]
    • มีหลักฐานบางส่วนสนับสนุนว่าการยืดเหยียดแบบอยู่กับที่สามารถส่งผลกระทบทางลบต่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกายได้ แต่ไม่พบว่าการยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหวมีผลกระทบทางลบต่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกายใดๆ[10]
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ฝึกท่าบอดี้เวทสควอท....
    ฝึกท่าบอดี้เวทสควอท. ท่าสควอทเป็นท่าออกกำลังกายที่มีการใช้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและกล้ามเนื้อสะโพกเป็นหลัก พยายามฝึกท่าสควอทด้วยท่าทางที่ถูกต้อง เพราะการทำท่าสควอทอย่างผิดวิธีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝึกโดยใช้น้ำหนักอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายของคุณได้[11]
    • อย่าเพิ่งกังวลเมื่อเห็นคำว่า "บอดี้เวท" (Bodyweight) ที่ระบุไว้ เพราะบอดี้เวทคือรูปแบบการฝึกที่ใช้เพียงน้ำหนักตัวของคุณเท่านั้นและไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมใดๆ (เช่น การวิดพื้นแบบพื้นฐาน)
    • ในการฝึกท่าสควอทที่ถูกต้อง ให้คุณแยกเท้าทั้งสองข้างให้กว้างประมาณช่วงหัวไหล่และให้ปลายเท้าชี้ไปทางด้านหน้า พยายามให้สายตามองไปข้างหน้า ดันหัวไหล่ไปทางด้านหลัง และรักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรงอยู่ตลอดเวลา
    • ในช่วงแรกร่างกายของคุณอาจยังไม่คุ้นชินต่อการเคลื่อนไหวในท่าสควอทมากนัก ดังนั้นให้คุณลองเริ่มต้นฝึกด้วยการหย่อนสะโพกลงไปให้มากที่สุดให้เหมือนอยู่ในท่านั่งยอง[12]
  3. How.com.vn ไท: Step 3 ฝึกท่าบอดี้เวทลันจ์....
    ฝึกท่าบอดี้เวทลันจ์. ท่าลันจ์ในรูปแบบต่างๆ สามารถช่วยเตรียมร่างกายส่วนล่างให้พร้อมสำหรับการวิ่งได้อย่างดีเยี่ยม เริ่มต้นจากฝึกท่าลันจ์ 10-20 ครั้งโดยก้าวเท้าสั้นๆ และเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยในช่วงแรกก่อนค่อยๆ เพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวให้เต็มที่จนครบ 20 ครั้ง จากนั้นทำต่ออีก 10-20 ครั้งแต่ในรอบนี้ให้คุณบิดลำตัวไปทางด้านซ้ายและด้านขวาพร้อมก้าวเท้าด้านเดียวกันไปข้างหน้า[13]
  4. How.com.vn ไท: Step 4 ฝึกท่า Mountain climber.
    ท่า Mountain climber เป็นท่าออกกำลังกายที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อขาและลำตัวได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการฝึกท่า Mountain climber นั้นใช้พลังงานมากกว่าการวิ่ง คุณจึงควรอบอุ่นร่างกายด้วยท่า Mountain climber โดยเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ในช่วงแรกและทำติดต่อกันเพียง 1-2 นาทีเท่านั้นก่อนหยุดพัก
    • เพิ่มความหลากหลายให้กับการฝึกท่า Mountain climber ด้วยการเตะขาทั้งสองข้างพร้อมๆ กันแทนการเตะขาสลับกันทีละข้าง[15]
  5. How.com.vn ไท: Step 5 ฝึกท่า Donkey kick ในท่าเตรียมคลาน.
    การยืดเหยียดกล้ามเนื้อสะโพกเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่งของคุณ ซึ่งการฝึกท่า Donkey kick ในท่าเตรียมคลานถือเป็นหนึ่งในท่าที่ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อสะโพกได้ดีที่สุด ในการฝึกท่า Donkey kick ให้คุณรักษาให้หลังเป็นเส้นตรง วางมือให้ตรงกับหัวไหล่พอดี และสายตามองลงไปที่พื้น จากนั้นยกขาเหยียดตรงไปทางด้านหลังโดยทำสลับกันทีละข้าง
    • จังหวะที่คุณยกขาเหยียดตรงไปทางด้านหลัง ให้คุณออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อสะโพกและค้างไว้ในท่าเหยียดขาตรงสักครู่หนึ่งก่อนกลับมาสู่ท่าเริ่มต้น[16]
  6. 6
    ฝีกท่า A-skip และ B-skip. ในการฝึกท่า A-skip ให้คุณยกหัวเข่าข้างหนึ่งขึ้นมาให้สูงเหนือระดับสะโพกก่อนลดหัวเข่าลงพร้อมกับเคลื่อนที่ไปข้างหน้า จากนั้นจึงสลับไปทำอีกข้างหนึ่งด้วยวิธีการเดียวกัน และเมื่อคุณเริ่มฝึกท่า A-skip ได้อย่างคล่องแคล่วแล้วจึงลองเปลี่ยนมาฝึกท่า B-skip แทน สำหรับการฝึกท่า B-skip ให้คุณยกหัวเข่าข้างหนึ่งขึ้นมาให้สูงเหนือระดับสะโพกเช่นเดียวกับการฝึกท่า A-skip แต่เพิ่มการเหยียดขาตรงไปข้างหน้าให้สุดก่อนลดเท้าลงมาแตะพื้นดังเดิมให้มีลักษณะเหมือนการก้าวขาเป็นวงกลม[17]
    • ฝึกท่า A-skip และ B-skip ไปรอบๆ ห้อง ยิม หรือสนาม
    • ในจังหวะที่คุณเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ให้คุณแกว่งแขนในลักษณะเดียวกับตอนที่คุณกำลังวิ่ง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ป้องกันและรักษาอาการบาดเจ็บที่หน้าแข้งจากการวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 เพิ่มระดับความเข้มข้นในการวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป....
    เพิ่มระดับความเข้มข้นในการวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป. การวิ่งมากจนเกินขีดจำกัดตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเพิ่งเริ่มต้นวิ่งใหม่ๆ อาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดการบาดเจ็บที่หน้าแข้งได้ ลองเริ่มต้นจากวิ่งสลับเดินสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลามากขึ้นจนกระทั่งไปถึงเป้าหมายที่คุณตั้งไว้[18]
    • เพื่อเพิ่มความท้าทายในการวิ่ง ในทุกสัปดาห์ให้คุณลองเพิ่มระยะทางและความเร็วขึ้นอีก 10%[19]
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ก้าวเท้าสั้นๆ.
    การก้าวเท้ายาวๆ อาจช่วยให้คุณรู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้คุณรู้สึกตึงที่ขาทั้งสองข้างของคุณได้เช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่คุณเริ่มต้นออกวิ่ง ให้คุณลดความยาวในการก้าวเท้าลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บที่หน้าแข้ง
    • เป็นเรื่องปกติที่คุณจะก้าวเท้ายาวขึ้นในช่วงท้ายของการแข่งขันหรือออกกำลังกายจากการออกแรงเฮือกสุดท้ายก่อนเข้าสู่เส้นชัย[20]
  3. How.com.vn ไท: Step 3 เดินด้วยส้นเท้าทั้งก่อนและหลังการวิ่ง.
    ในขณะที่คุณวิ่ง กล้ามเนื้อน่องจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้งานมากสุดซึ่งแตกต่างจากกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณหน้าแข้งที่ไม่มีการใช้งานมากนัก ซึ่งคุณสามารถทำให้กล้ามเนื้อทั้งสองกลุ่มนี้ทำงานอย่างสมดุลกันยิ่งขึ้นด้วยการเดินไปรอบๆ ด้วยส้นเท้าทั้งก่อนและหลังการวิ่งเพื่อเป็นการลดโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บที่หน้าแข้ง
    • การเดินด้วยส้นเท้าอาจทำได้ไม่ง่ายนักในช่วงแรก ดังนั้นให้คุณลองแบ่งการเดินเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งละ 15-30 วินาทีจนครบ 3 เซ็ต[21]
  4. How.com.vn ไท: Step 4 ยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องหลังการวิ่ง.
    นั่งลงบนพื้นพร้อมเหยียดขาตรงไปทางด้านหน้า จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างจับที่ปลายคนละฝั่งของยางยืดออกกำลังกายหรือผ้าขนหนูและนำมาคล้องไว้ที่ส่วนหน้าเท้าของคุณก่อนออกแรงดึงเบาๆ จนกระทั่งคุณรู้สึกถึงแรงตึงที่กล้ามเนื้อน่อง
    • หากไม่มียางยืดออกกำลังกายหรือผ้าขนหนู ให้คุณใช้วิธียืนห่างจากผนังประมาณ 1-2½ ก้าวก่อนเอนตัวเข้าหาผนังจนกระทั่งคุณรู้สึกถึงแรงตึงที่กล้ามเนื้อน่อง
    • ให้คุณยืดเหยียดค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาทีและทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อขาข้างหนึ่ง[22]
  5. How.com.vn ไท: Step 5 ประคบด้วยน้ำแข็งตรงบริเวณที่รู้สึกเจ็บจากการได้รับบาดเจ็บที่หน้าแข้ง....
    ประคบด้วยน้ำแข็งตรงบริเวณที่รู้สึกเจ็บจากการได้รับบาดเจ็บที่หน้าแข้ง. แม้ว่าคุณจะระมัดระวังเป็นอย่างดีแล้ว แต่คุณก็ยังคงมีโอกาสได้รับบาดเจ็บที่หน้าแข้งจากการวิ่งได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบรรเทาอาการเจ็บได้ง่ายๆ ด้วยการประคบด้วยน้ำแข็งที่บริเวณหน้าแข้งทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีและประคบซ้ำ 4-8 ครั้งต่อวัน[23]
    • ยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ไอบูโพนเฟนหรือแอสไพริน สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บจากการได้รับบาดเจ็บที่หน้าแข้งได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามคุณควรปรึกษาแพทย์หากอาการเจ็บยังคงไม่หายดีหลังผ่านไปนานกว่า 2 สัปดาห์[24]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสำหรับการวิ่ง
  • เปลี่ยนรองเท้าใหม่แทนคู่เก่าที่เหมาะสภาพแล้วเพื่อป้องกันการได้รับบาดเจ็บ
  • ผ่อนร่างกายให้เย็นลงหลังการวิ่งด้วยการลดความเร็วในการวิ่งให้เป็นการวิ่งเหยาะแทน ปิดท้ายด้วยการบริหารเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวและค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกายด้วยการยืดเหยียดแบบอยู่กับที่
โฆษณา

คำเตือน

  • การวิ่งด้วยท่าทางหรือเทคนิคที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณได้รับบาดเจ็บได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นลองให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย เช่น เทรนเนอร์หรือโค้ช เป็นผู้ตรวจเช็คและแนะนำท่าทางที่ถูกต้องให้กับคุณ
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. โมนิกา มอร์ริส. ผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลที่ได้รับใบรับรอง. การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ. 18 พฤศจิกายน 2019.
  2. https://runnersconnect.net/common-misconceptions-about-warm-ups/
  3. http://trailrunnermag.com/training/trail-tips/5-minute-running-warm-up.html
  4. โมนิกา มอร์ริส. ผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลที่ได้รับใบรับรอง. การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ. 18 พฤศจิกายน 2019.
  5. http://www.active.com/running/articles/7-running-drills-to-warm-up-the-right-way?page=2
  6. https://www.nerdfitness.com/blog/warm-up/
  7. https://www.builtlean.com/2010/08/06/learn-how-to-jump-rope-like-a-pro-7-tips/
  8. โมนิกา มอร์ริส. ผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลที่ได้รับใบรับรอง. การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ. 18 พฤศจิกายน 2019.
  9. http://www.shape.com/fitness/cardio/8-common-running-myths-busted

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

How.com.vn ไท: Monica Morris
ร่วมเขียน โดย:
เทรนเนอร์ที่มีใบรับรอง ACE
บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Monica Morris. โมนิกา มอร์ริสเป็นเทรนเนอร์ที่มีใบรับรอง ACE (American Council on Exercise) ในซานฟรานซิสโก เธอมีประสบการณ์สอนฟิตเนสกว่า 15 ปี โมนิกาเริ่มฝึกและได้รับใบรับรอง ACE ในปี 2017 การออกกำลังกายของเธอจะเน้นเรื่องการอบอุ่นร่างกายและการยืดเหยียดที่ถูกต้อง บทความนี้ถูกเข้าชม 6,176 ครั้ง
มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,176 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

⚠️ Disclaimer:

Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.

Notices:
  • - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
  • - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
  • - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
  • - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.

โฆษณา