วิกิฮาวเป็น "wiki" ซึ่งหมายความว่าบทความหลายๆ บทความของเรานั้นเป็นการร่วมมือกันเขียนของผู้เขียนหลายคน ในการเขียนบทความชิ้นนี้ ผู้คน 12 คน ซึ่งบางคนไม่ขอเปิดเผยตัว ได้ร่วมกันเขียนและปรับปรุงเนื้อหาของบทความอย่างต่อเนื่อง
มีการอ้างอิง 14 ข้อที่อ้างอิงอยู่ในบทความ ซึ่งสามารถพบได้ทางด้านล่างของบทความ
บทความนี้ถูกเข้าชม 4,079 ครั้ง
ถ้าคนที่คุณรักหรือแม้กระทั่งตัวคุณเองเป็นออทิสติก คุณอาจจะพบว่าตัวเองจำเป็นต้องอธิบายอาการให้คนอื่นฟังเป็นครั้งคราว แต่ก่อนที่คุณจะสามารถอธิบายอาการได้อย่างถูกต้อง คุณต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคออทิสติกให้ได้มากที่สุดก่อนจึงจะเกิดประโยชน์ จากนั้นคุณจะสามารถอธิบายได้ว่า โรคออทิสติกส่งผลต่อทักษะการเข้าสังคม ความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และพฤติกรรมทางกายภาพของคนๆ นั้นอย่างไร
ขั้นตอน
- 1รู้ว่านิยามทั่วไปของโรคออทิสติกคืออะไร. โรคออทิสติกเป็นความบกพร่องด้านการพัฒนาที่โดยทั่วไปจะทำให้เกิดความแตกต่างในด้านการสื่อสารและทักษะทางสังคม เป็นความแตกต่างของระบบประสาทที่อาจดูเป็นความยากลำบาก แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน[1]
- 2เรียนรู้ว่าคนที่เป็นโรคออทิสติกพูดถึงโรคออทิสติกอย่างไร. คนที่เป็นโรคออทิสติก ซึ่งเป็นผู้ที่ประสบกับความแตกต่างและแรงกระตุ้นต่างๆ ด้วยตัวเองสามารถให้ความเข้าใจว่าโรคออทิสติกเป็นอย่างไรได้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้มุมมองที่กว้างขวางครอบคลุมกว่าองค์กรที่ดำเนินการโดยผู้ปกครองหลายๆ ที่อีกด้วย[2]
- 3เข้าใจว่าโรคออทิสติกเป็นอาการผิดปกติที่ครอบคลุมหลายมิติ. หมายความว่าอาการจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล คน 2 คนที่เป็นโรคออทิสติกจะไม่มีอาการเหมือนกันเป๊ะๆ คนหนึ่งอาจจะมีปัญหาเรื่องการรับรู้ความรู้สึกอย่างร้ายแรง แต่มีทักษะการเข้าสังคมและการทำงานของสมองด้านการจัดการที่แข็งแกร่งมาก ในขณะที่อีกคนอาจจะมีปัญหาด้านการรับรู้ความรู้สึกนิดหน่อย แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากด้านการมีปฏิสัมพันธ์ขั้นพื้นฐาน เนื่องจากอาการนั้นมีความแตกต่างกันไป จึงยากที่จะเหมารวมได้ว่า คนที่เป็นโรคนี้มีอาการอย่างไร
- คำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้เวลาอธิบายโรคออทิสติกให้คนอื่นฟัง คุณต้องอธิบายว่าคนที่เป็นโรคออทิสติกไม่ได้มีอาการเหมือนกันทุกคน เช่นเดียวกับการที่คนที่มีระบบประสาทแบบปกติก็ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน
- เวลาที่พูดถึงคนที่เป็นโรคออทิสติก ให้เน้นความต้องการของคนๆ นั้นโดยเฉพาะ
- 4ตระหนักถึงความแตกต่างด้านการสื่อสาร. คนที่เป็นโรคออทิสติกบางคนรู้สึกว่าการสื่อสารกับผู้อื่นเป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าความท้าทายด้านการสื่อสารจะพูดถึงอย่างละเอียดในวิธีการ 2 แต่ปัญหาด้านการสื่อสารทั่วไปที่เชื่อมโยงกับโรคออทิสติกนั้นได้แก่ :
- น้ำเสียงแปลกๆ หรือเรียบไม่มีสูงต่ำ ทำให้จังหวะและระดับเสียงฟังดูแปลกๆ
- พูดคำถามหรือวลีซ้ำ (อาการพูดเลียน)
- ความยากลำบากในการแสดงความต้องการและความปรารถนา
- ใช้เวลานานในการประมวลคำพูด ไม่สามารถตอบสนองคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว หรือสับสนถ้ามีการพูดคำหลายคำเร็วเกินไป
- การตีความภาษาตามตัวอักษร (สับสนเรื่องการพูดเสียดสี ประชดประชัน และภาพพจน์ต่างๆ)
- 5เข้าใจว่าคนที่เป็นออทิสติกนั้นมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวต่างออกไป. เวลาคุยกับคนที่เป็นออทิสติก คุณอาจจะสงสัยว่าพวกเขาสนใจคุณอยู่หรือเปล่า หรือแม้กระทั่งพวกเขาสังเกตไหมว่าคุณอยู่ตรงนั้น อย่าให้สิ่งนี้กวนใจคุณ จำไว้ว่า :
- ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนเป็นออทิสติกที่ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง พวกเขาอาจจะแค่ไม่ได้ทันนึกหรือไม่ได้สนใจคนรอบข้าง ซึ่งทำให้การเชื่อมโยงกับผู้อื่นเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา
- คนที่เป็นออทิสติกอาจจะมีการฟังที่แตกต่างออกไป เช่น การสบตาอาจทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมากๆ จนทำให้ไม่มีสมาธิในการฟัง และพวกเขาก็อาจจะต้องอยู่ไม่สุขเพื่อที่จะได้จดจ่ออยู่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความไม่สนใจจริงๆ แล้วอาจจะเป็นการปรับตัวเพื่อที่พวกเขาจะได้ฟังได้ดีขึ้นก็ได้
- คนที่เป็นออทิสติกอาจจะดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดด้วย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความช้าในด้านการประมวลผลการฟัง หรือในห้องอาจมีสิ่งรบกวนมากเกินไป อาจจะเสนอให้ย้ายไปที่ที่เงียบขึ้น และเว้นช่วงระหว่างการสนทนาเพื่อให้คนที่เป็นออทิสติกได้คิด
- เด็กที่เป็นออทิสติกอาจจะพบว่าการเล่นกับคนอื่นค่อนข้างท้าทาย เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ทางสังคมยากๆ มากมายและ/หรือต้องใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ มากเกินไป พวกเขาก็อาจจะรู้สึกว่าการปลีกตัวออกมานั้นง่ายกว่า
- 6รู้ว่าโดยทั่วไปคนที่เป็นออทิสติกจะชอบโครงสร้างตายตัวมากเป็นพิเศษ. พวกเขาสามารถสร้างกิจวัตรประจำของตัวเองได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากๆ ซึ่งเป็นเพราะว่าคนที่เป็นออทิสติกจะตกใจได้ง่ายเมื่อเจอกับสิ่งเร้าที่ไม่คุ้นเคย และความแน่นอนของตารางก็ทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะกล่าวโดยละเอียดในวิธีการ 4 คนที่เป็นออทิสติกอาจจะ...
- ทำตามกิจวัตรอย่างเคร่งครัด
- พบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดมาก่อนเป็นเรื่องน่ากังวลใจมากๆ (เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมของโรงเรียน)
- ใช้ของประโลมจิตใจเพื่อช่วยบรรเทาความเครียด
- วางของเป็นระบบ (เช่น เรียงของเล่นตามสีและขนาด)
โฆษณา
- 1อธิบายว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจแสดงท่าทางที่ต่างออกไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอะไร. คนที่เป็นออทิสติกต้องรับมือกับอุปสรรคและสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดที่คนที่มีระบบประสาทปกติไม่เคยเจอ[3] เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมักจะแสดงท่าทางแปลกๆ หรือแสดงทักษะทางสังคมที่ต่างออกไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นและจุดแข็งของแต่ละคน
- คนที่มีทักษะทางสังคมที่ดีหน่อยอาจจะแค่ดูแปลกๆ และงุ่มง่ามนิดหน่อย ในบางครั้งพวกเขาอาจจะแสดงความเห็นไม่เข้าท่าที่ไม่เข้ากับบทสนทนา
- คนที่เป็นออทิสติกบางคนไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ในสิ่งแวดล้อมทางสังคมแบบปกติได้
- 2บอกว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจจะไม่สบตา. การสบตาอาจมากเกินกว่าที่คนเป็นออทิสติกจะรับไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ และคนที่เป็นออทิสติกก็อาจจะไม่สามารถสบตาและฟังคำพูดของอีกฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน[4] อธิบายว่าสำหรับคนที่เป็นออทิสติกแล้ว การหลบตาไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ฟัง
- อย่าบังคับให้สบตา เพราะคนที่เป็นออทิสติกอาจจะกลัว[5] ทักษะการสื่อสารของพวกเขาอาจลดลง และทำให้เกิดการรับความรู้สึกที่มากเกินไป
- คนที่เป็นออทิสติกบางคนก็อาจจะสบตาได้โดยไม่ทำให้เขาอึดอัดมากนัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเช่นกัน
- 3อธิบายว่าคนที่เป็นออทิสติกไม่ได้ไม่สนใจพวกเขา. สอนพวกเขาว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจต้องกระสับกระส่ายหรือหลบตาเพื่อที่จะเพ่งความสนใจ คนที่เป็นออทิสติกอาจมองไปที่ปาก มือ หรือเท้าของคู่สนทนา หรือแม้กระทั่งมองไปยังด้านตรงข้าม การโกรธคนที่เป็นออทิสติกมีแต่จะทำให้คนที่เป็นออทิสติกอยู่ห่างจากเขา
- เตือนพวกเขาว่า เนื่องจากความแตกต่างด้านการรับรู้และการแสดงความสนใจ คนที่เป็นออทิสติกอาจจะจดจ่อกับบทสนทนาได้ยาก คนที่เป็นออทิสติกไม่ได้ไม่สนใจผู้อื่น เธออาจจะกำลังพยายามมีส่วนร่วมในบทสนทนาอย่างเต็มที่ก็ได้
- สอนให้คนอื่นๆ แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขาต้องการคุยกับคนที่เป็นออทิสติก คนๆ นั้นควรเอาตัวเข้าไปใกล้ เรียกชื่อคนที่เป็นออทิสติก และควรจะอยู่ในระดับสายตาของคนที่เป็นออทิสติก ถ้าเรียกแล้วแต่คนที่เป็นออทิสติกไม่ตอบสนอง ให้ลองใหม่ เพราะเขาอาจจะไม่ได้สังเกต
- 4อธิบายให้ชัดเจนว่า คนที่เป็นออทิสติกบางคนไม่สามารถพูดได้ (ไม่สามารถผลิตคำพูดได้). พวกเขาอาจจะสื่อสารผ่านภาษาใบ้ แผนภูมิรูปภาพ การพิมพ์ ภาษาท่าทาง หรือพฤติกรรม อธิบายว่าแค่เพราะเขาไม่พูดไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจคำพูด หรือว่าพวกเขาไม่มีอะไรจะพูด
- เตือนพวกเขาว่า "การดูหมิ่น" ถือเป็นการแสดงการยกตนข่มท่านเสมอ ผู้ป่วยออทิสติกที่ไม่สามารถพูดได้ควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
- บอกให้พวกเขารู้ถึงผลงานของคนที่พูดไม่ได้ที่ยิ่งใหญ่ เช่น Amy Sequenzia ที่เป็นนักเขียนและนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้ที่มีความผิดปกติด้านพัฒนาการ
- 5ย้ำว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจไม่เข้าใจการพูดเสียดสี อารมณ์ขัน หรือน้ำเสียง. พวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างน้ำเสียงได้ยาก โดยเฉพาะเวลาที่สีหน้าของคนที่กำลังพูดไม่สัมพันธ์กับน้ำเสียงของเขา
- เวลาที่อธิบายความยากลำบากนี้ คุณอาจจะเปรียบเทียบกับการใช้อิโมติคอนเวลาส่งข้อความ ถ้ามีคนส่งข้อความมาหาคุณว่า “อืม เยี่ยมเลย” คุณก็อาจจะคิดว่าคนๆ นั้นหมายความตามนั้นจริงๆ แต่ถ้าอีกคนใช้อิโมติคอนเช่น “:-P” กับข้อความนั้น ซึ่งแทนรูปหน้าคนแลบลิ้น คุณก็จะตีความว่าข้อความนั้นเป็นการประชดประชัน
- คนที่เป็นออทิสติกสามารถเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจความหมายของภาษาภาพพจน์ได้ บางคนเข้าใจความหมายที่ต่างกันเล็กน้อยของการประชดประชันและอารมณ์ขันได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
โฆษณา
- 1ช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คนที่เป็นออทิสติกอาจจะแสดงความเห็นอกเห็นใจต่างออกไป และนั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ. แต่พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เข้าใจว่าคุณรู้สึกอย่างไร หรือรู้ว่าจะต้องแสดงท่าทีต่อความรู้สึกของคุณในแบบที่ดีที่สุดได้อย่างไร เตือนให้คนที่คุณกำลังอธิบายโรคออทิสติกรู้ว่า คนที่เป็นออทิสติกหลายคนแสดงความเห็นอกเห็นใจในแบบที่พวกเขาอาจจะไม่ได้ตระหนัก ซึ่งทำให้พวกเขาดูเหมือนคนไร้ความรู้สึกทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะแค่ไม่เข้าใจอารมณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่
- อธิบายว่า การอธิบายให้ชัดเจนว่าคุณรู้สึกอย่างไรนั้นดีที่สุด เช่น คนที่เป็นออทิสติกอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงก้มหน้าก้มตา แต่ถ้าคุณบอกเขาว่า คุณรู้สึกไม่สบายใจเพราะพ่อโกรธคุณ เขาก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าจะโต้ตอบคุณอย่างไร
- 2บอกให้อีกฝ่ายทราบถึงความหลงใหลอย่างแรงกล้าที่มาพร้อมกับโรคออทิสติก. คนที่เป็นออทิสติกหลายคนหลงใหลในเรื่องที่เฉพาะเจาะจง 2 – 3 เรื่องอย่างลึกซึ้ง และสามารถคุยเรื่องพวกนี้ได้นานมากๆ
- คนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่ามันหยาบคาย แต่โดยทั่วไปคนที่เป็นออทิสติกไม่ได้ตั้งใจจะเพิกเฉยความคิดและความรู้สึกของคุณ แต่พวกเขาอาจจะไม่ตระหนักว่าคู่สนทนาไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด
- คนที่เป็นออทิสติกบางคนจะระวังการพูดถึงสิ่งที่ตัวเองสนใจเป็นพิเศษมากเกินไป เพราะกลัวว่ามันจะหยาบคาย ถ้าเจอคนออทิสติกที่เป็นอย่างนี้ ให้บอกเขาว่าการพูดถึงความหลงใหลของตัวเองบ้างเป็นครั้งคราวนั้นไม่เป็นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคู่สนทนาถามคำถามในเรื่องนั้น
- 3อธิบายให้อีกฝ่ายรู้ว่า คนที่เป็นออทิสติกอาจจะไม่ได้ตระหนักว่าคุณสนใจมากแค่ไหน. ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยหรือจบบทสนทนา พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าคุณกำลังบอกเป็นนัย เพราะฉะนั้นพูดตรงๆ ไปเลยจะดีที่สุด
- การเตรียมเหตุผลที่จะขอตัวออกไปนั้นก็ช่วยได้เหมือนกัน เช่นบอกว่า "ฉันต้องไปแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวสาย" หรือ "ฉันคุยมาเยอะเกินไปแล้ว ฉันอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักน่ะ" (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนที่เป็นออทิสติกหลายคนสามารถเข้าใจได้)
- 4ช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คนที่เป็นออทิสติกก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ. คนอื่นต้องเข้าใจว่า คนที่เป็นออทิสติกก็รู้สึกถึงความรัก ความสุข และความเจ็บปวดไม่ต่างจากคนอื่นๆ แค่เพราะพวกเขาดูเหินห่างเป็นครั้งคราวไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้ความรู้สึก ที่จริงแล้วคนที่เป็นออทิสติกหลายคนรู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งมากๆโฆษณา
- 1อธิบายว่า คนที่เป็นออทิสติกบางคนไม่สามารถรับมือกับการสัมผัสทางกายได้. ซึ่งเป็นเรื่องของปัญหาด้านการรับรู้ความรู้สึก คนที่เป็นออทิสติกแต่ละคนมีปฏิกิริยาต่อการสัมผัสแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นจึงต้องถามเขาก่อนว่าเขาอยากให้สัมผัสไหม
- คนที่เป็นออทิสติกบางคนก็ชอบการสัมผัส คนที่เป็นออทิสติกหลายคนกอดเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวได้อย่างมีความสุข
- ถ้าไม่มั่นใจให้ถาม ลองถามว่า "อยากให้กอดไหม" หรือค่อยๆ เข้าไปใกล้ให้คนที่เป็นออทิสติกสามารถเห็นคุณและมีโอกาสที่จะขอให้คุณหยุดได้ อย่าเข้าสัมผัสจากด้านหลังเพราะอาจทำให้เขาตกใจจนถึงขั้นตื่นตระหนกได้
- ความชอบเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เช่น จู่ๆ เด็กชายที่เป็นออทิสติกที่ปกติแล้วชอบการกอดอาจจะบอกว่า "ไม่" เวลาที่คุณถามว่าอยากให้กอดไหม ซึ่งตามปกติแล้วเป็นเรื่องของความแตกต่างด้านการรับรู้ความรู้สึก คนๆ นั้นอาจจะแค่รู้สึกมีเรื่องให้รับมือมากเกินกว่าจะทนกับการกอดได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย
- 2อธิบายว่า คนที่เป็นออทิสติกหลายคนไม่สามารถรับมือกับสิ่งเร้าทางความรู้สึกบางอย่างได้. คนที่เป็นออทิสติกอาจจะปวดหัวจากแสงจ้า หรือกระโดดแล้วเริ่มร้องไห้เมื่อคุณทำจานตกพื้น เตือนให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความอ่อนไหวของคนที่เป็นออทิสติก เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยได้
- อธิบายว่าพวกเขาสามารถถามความต้องการของคนที่เป็นออทิสติกได้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา เช่น "ห้องนี้เสียงดังเกินไปไหม เราควรไปที่อื่นกันดีกว่าหรือเปล่า"
- การหยอกล้อเรื่องความอ่อนไหวของคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย (เช่น ปิดประตูตู้วางของดังปังเพื่อดูคนที่เป็นออทิสติกกระโดด) สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด ความกลัว หรือแม้กระทั่งอาการแพนิก และถือเป็นการรังแกผู้อื่น
- 3บอกอีกฝ่ายว่า คนที่เป็นออทิสติกจะรับมือกับสิ่งเร้าได้ง่ายกว่าถ้าได้รับสัญญาณเตือนให้เตรียมตัว.[6] โดยทั่วไปคนที่เป็นออทิสติกจะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่าถ้าพวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นให้บอกอีกฝ่ายรู้ว่า พวกเขาควรถามก่อนที่จะทำอะไรที่อาจจะทำให้คนที่เป็นออทิสติกตกใจ
- เช่น : "ฉันกำลังจะปิดประตูโรงรถแล้วนะ ถ้าคุณอยากจะออกจากห้องหรือเอามือปิดหูก็ตามสบายเลยนะ"
- 4บอกว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจจะแสดงพฤติกรรมที่ดูแปลกๆ ในช่วงแรก. ซึ่งเรียกว่าพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง เพราะเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นประสาทสัมผัส พฤติกรรมกระตุ้นตนเองสามารถช่วยในเรื่องของการสร้างความสงบให้ตนเอง การจดจ่อ[7] การสื่อสาร[8] และป้องกันอาการสติแตก อธิบายว่าถึงมันจะดูแปลกๆ แต่อย่าขัดจังหวะไม่ให้คนที่เป็นออทิสติกแสดงพฤติกรรมกระตุ้นตนเองเด็ดขาด[9][10] ตัวอย่างพฤติกรรมกระตุ้นตนเองก็เช่น :
- โยกหน้าโยกหลัง
- พูดคำหรือทำเสียงซ้ำๆ (อาการพูดเลียน)[11]
- สะบัดมือ
- ดีดนิ้ว
- เอาหัวโขก (แจ้งนักบำบัดหรือผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบหากพฤติกรรมนี้กลายเป็นปัญหา เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บทางร่างกายได้ เพราะฉะนั้นควรแสดงพฤติกรรมกระตุ้นตนเองอย่างอื่นแทน เช่น ส่ายหัวเร็วๆ นักบำบัดสามารถช่วยหาพฤติกรรมกระตุ้นตนเองอื่นๆ มาแทนได้)
- กระโดดไปรอบๆ และปรบมือด้วยความตื่นเต้น
- 5อธิบายว่าพฤติกรรมกระตุ้นตนเองนั้นมักจะช่วยให้สงบ เพราะเป็นการสร้างข้อมูลรับเข้าทางความรู้สึกที่สามารถคาดเดาได้. เช่นเดียวกับการสร้างกิจวัตร พฤติกรรมกระตุ้นตนเองสร้างความรู้สึกถึงความปลอดภัยและการคาดเดาได้ เช่น คนที่เป็นออทิสติกอาจจะกระโดดอยู่กับที่ซ้ำไปซ้ำมา นอกจากนี้ก็อาจจะเล่นเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรือวาดรูปเดิมๆ พฤติกรรมที่ทำซ้ำไปซ้ำมาสัมพันธ์กับระดับความสบายใจ
- ถ้าคุณพยายามจะอธิบายโรคออทิสติกของลูกให้เพื่อนฟัง ให้เปรียบเทียบเรื่องการที่ลูกๆ ของพวกเขาเตรียมตัวไปโรงเรียน กิจวัตรพื้นฐานของการเตรียมตัวไปโรงเรียนก็คือ ทานอาหารเช้า แปรงฟัน แต่งตัว จัดประเป๋า และอื่นๆ ถึงจะเป็นกิจวัตรแบบเดียวกัน ในบางเช้ากิจกรรมเหล่านี้ก็อาจสลับกันได้ เด็กที่มีระบบประสาทแบบปกติจะไม่สนใจถ้าหากเช้าวันหนึ่งเขาต้องแต่งตัวก่อนค่อยทานอาหารเช้า ซึ่งผิดแปลกไปจากกิจวัตรปกติ แต่สำหรับเด็กที่เป็นออทิสติก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจสร้างความสับสนได้เป็นอย่างมาก ถ้าพวกเขาเคยชินกับกิจวัตรแบบหนึ่งแล้ว ให้พยายามรักษากิจวัตรแบบนั้นไว้จะดีกว่า
โฆษณา
- 1แน่ใจว่าลูกพร้อมจะคุยเรื่องนี้แล้ว. คุณต้องซื่อสัตย์กับลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกเป็นออทิสติกหรือมีความสงสัยเรื่องเพื่อนที่เป็นออทิสติก นอกจากนี้คุณก็ยังต้องแน่ใจด้วยว่าลูกของคุณโตพอที่จะเข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไรกับลูกและลูกจะไม่สับสนหรือได้รับข้อมูลมากเกินไป เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเกณฑ์อายุที่ตายตัวว่าเมื่อไหร่ควรพูดกับลูก คุณจะเกริ่นการสนทนาเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สุดแท้แต่คุณ
- ถ้าลูกของคุณเป็นออทิสติก ระวังอย่าพูดเรื่องนี้เร็วเกินไป เพราะความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่นโดยที่ไม่มีใครบอกได้ว่าทำไมอาจทำให้เครียดได้ กับเด็กเล็กคุณอาจจะพูดแค่ว่า "ลูกมีความบกพร่องที่เรียกว่าออทิสติก ซึ่งก็คือการที่สมองของลูกทำงานต่างจากของคนอื่นนิดหน่อย ลูกก็เลยต้องมีนักบำบัดคอยช่วยเหลือนะจ๊ะ"
- 2อธิบายให้ลูกฟังว่า โรคออกทิสติกไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจอะไร. ให้เขารู้ว่าโรคออทิสติกเป็นความบกพร่อง ไม่ใช่โรคหรือภาระ และการเป็นออทิสติกก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เด็กที่โตสักหน่อยอาจได้ประโยชน์จากการได้รับรู้แนวคิดเรื่องความหลากหลายทางระบบประสาทและการขับเคลื่อนสิทธิคนพิการ
- ช่วยให้ลูกเข้าใจว่าความแตกต่างทำให้เขาไม่เหมือนใครและพิเศษ อธิบายข้อดีของโรคออทิสติก ซึ่งได้แก่ การรับรู้ด้านตรรกะและจริยศาสตร์ที่ดี ความเห็นอกเห็นใจ ความหลงใหลอย่างลึกซึ้ง การจดจ่อ ความซื่อสัตย์ และความปรารถนาที่จะช่วยเหลือ (ความรับผิดชอบต่อสังคม)
- 3สนับสนุนลูก. คุณต้องสนับสนุนลูก บอกลูกว่าการเป็นออทิสติกทำให้เขาแตกต่างก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้เขาด้อยกว่าใคร ลูกของคุณสามารถไปโรงเรียนและทำกิจกรรมที่บ้านได้อย่างสบาย รวมถึงมีชีวิตที่มีความสุขด้วย
- 4คุณต้องแสดงความรักที่มีต่อลูก. บอกลูกเสมอว่าคุณรักและห่วงใยเขามากแค่ไหน การได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่กับความบกพร่องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และด้วยความช่วยเหลือต่างๆ ลูกของคุณก็จะมีชีวิตที่มีความสุขและทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายโฆษณา
เคล็ดลับ
- อย่าหงุดหงิดถ้าคนที่คุณอธิบายเรื่องโรคออทิสติกให้ฟังดูจะไม่ ‘เข้าใจ’ ใจเย็นๆ และพยายามตอบคำถามที่คนนั้นมีขณะที่ช่วยให้เขาเข้าใจอาการของโรคออทิสติกมากขึ้น
- แนะนำเว็บไซต์เกี่ยวกับโรคออกทิสติกให้อีกฝ่าย เช่น http://www.autisticthai.com/
คำเตือน
- อย่าห้ามไม่ให้คนที่เป็นออทิสติกแสดงพฤติกรรมกระตุ้นตนเองเด็ดขาด
- ระมัดระวังเวลาแนะนำเว็บไซต์เกี่ยวกับออทิสติกให้คนอื่น บางองค์กร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีพ่อแม่เป็นผู้ดำเนินการ) อธิบายว่าโรคออทิสติกเป็นสิ่งไม่ดีและเน้นไปที่ความยากลำบากมากกว่าจะเป็นความเคารพและรวมคนที่เป็นออทิสติกเข้ามาในชุมชน เน้นไปที่องค์กรที่มีคนที่เป็นออทิสติกเป็นผู้ดำเนินการหรือองค์กรที่มีคนออทิสติกเป็นคณะกรรมการสูงสุดหลายคนแทนจะดีกว่า
- เว็บไซต์ที่พูดถึงความหลากหลายด้านระบบประสาท ใช้ภาษาของผู้ที่เป็นออทิสติก [12] ส่งเสริมการยอมรับ และพูดคุยถึงการให้ความช่วยเหลือแทนที่จะเป็นการรักษา โดยทั่วไปถือเป็นเว็บไซต์ที่เหมาะสม
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://autisticadvocacy.org/about-autism/
- ↑ http://autisticadvocacy.org/2012/05/autism-being-autistic-and-acceptance/
- ↑ http://www.thinkingautismguide.com/2014/02/do-me-favor.html
- ↑ http://www.iidc.indiana.edu/?pageId=472
- ↑ http://www.snagglebox.com/article/autism-eye-contact
- ↑ http://emmashopebook.com/2013/12/16/travel-friendship-and-sensory-overload/
- ↑ http://musingsofanaspie.com/2013/06/18/a-cognitive-defense-of-stimming-or-why-quiet-hands-makes-math-harder/
- ↑ http://thecaffeinatedautistic.wordpress.com/2013/02/10/on-stimming-and-why-quiet-handsing-an-autistic-person-is-wrong/
- ↑ http://thecaffeinatedautistic.wordpress.com/2013/02/10/on-stimming-and-why-quiet-handsing-an-autistic-person-is-wrong/
- ↑ http://juststimming.wordpress.com/2011/10/05/quiet-hands/
- ↑ http://musingsofanaspie.com/2013/09/18/echolalia-thats-what-she-said/
- ↑ http://autisticadvocacy.org/identity-first-language/
- Autism Self-Advocacy Network (ASAN)
- Autism Women's Network
- Parenting Autistic Children with Love and Acceptance
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.