บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Lacy Windham, MD. ดร.วินดั้มเป็นสูตินรีแพทย์ที่มีใบรับรองในเทนเนสซี่ เธอผ่านการฝึกงานจากคณะแพทยศาสตร์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียในปี 2010 ที่ซึ่งเธอได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นด้วย
มีการอ้างอิง 9 ข้อที่อ้างอิงอยู่ในบทความ ซึ่งสามารถพบได้ทางด้านล่างของบทความ
บทความนี้ถูกเข้าชม 1,659 ครั้ง
ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปากช่องคลอดด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อยนัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรคมะเร็งปากช่องคลอดจะเกิดขึ้นในคนจำนวนไม่มากนัก แต่ผู้หญิงทุกคนควรมีความเข้าใจและหมั่นสังเกตสัญญาณของมะเร็งปากช่องคลอดให้ดี และเมื่อคุณพบอาการต่างๆ ที่ผิดปกติและดูน่าสงสัย คุณจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคและยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งปากช่องคลอดหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการรักษาโรคมะเร็งปากช่องคลอดมักมีโอกาสประสบผลสำเร็จสูงโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของของโรคมะเร็งที่เกิดขึ้น
ขั้นตอน
- เฝ้าจับตาอาการที่ผิดสังเกต. โรคมะเร็งปากช่องคลอดอาจไม่แสดงอาการใดๆ ในระยะแรกแต่อาจมีสัญญาณเตือนปรากฏขึ้นมาบ้างพอให้คุณทราบ หมั่นเฝ้าจับตาอาการที่ผิดสังเกตเพื่อช่วยให้คุณได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาจากแพทย์ได้โดยเร็วที่สุด[1]
- ตระหนักถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอด. สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตาม บรรดาแพทย์ต่างระบุว่าปัจจัยและพฤติกรรมบางอย่างของคนเราสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้ การตระหนักถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดจะช่วยให้คุณรับรู้ถึงโอกาสในการเกิดโรคและสามารถรับการตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาจากแพทย์ได้อย่างทันท่วงที[4]
- ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุ โดยอายุเฉลี่ยที่มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปากช่องคลอดจะอยู่ที่ประมาณ 65 ปี[5]
- การเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนปาปิลโลมา (Human Papillomavirus) หรือ HPV สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้มากขึ้น[6]
- ผู้ที่มีสูบบุหรี่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งปากช่องคลอดที่สูงกว่า[7]
- การติดเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงจนส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดเพิ่มขึ้น[8]
- การมีประวัติการเกิดรอยโรคก่อนเกิดมะเร็งหรือโรคผิวหนังที่บริเวณปากช่องคลอด เช่น ไลเคนสเคิลโรซุส (Lichen sclerosus) อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้[9]
- คลำหาก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ที่บริเวณปากช่องคลอด. ก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้ ซึ่งคุณสามารถตรวจพบความผิดปกติเหล่านี้ได้โดยใช้นิ้วมือคลำเบาๆ ที่บริเวณปากช่องคลอดของคุณ[10]
- อย่ามัวแต่รู้สึกประหม่าหรืออึดอัดใจในการสัมผัสปากช่องคลอดของตัวเอง จำไว้ว่าคุณกำลังทำเช่นนี้เพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเอง[11]
- ค่อยๆ คลำตามส่วนต่างๆ ของปากช่องคลอดเพื่อหาสิ่งผิดปกติต่างๆ อย่างก้อนเนื้อหรือรอยโรคที่มีลักษณะคล้ายกับหูด รวมทั้งอย่าลืมลองคลำดูที่บริเวณแคมด้วยเช่นกัน[12]
- คุณควรหมั่นคลำปากช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทราบถึงสภาวะปกติของปากช่องคลอดของคุณ[13]
- ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดหากคุณพบอาการผิดปกติดังกล่าว[14]
- สังเกตดูอาการเจ็บปวด อาการคัน หรือภาวะเลือดออก. คอยสังเกตดูว่าที่บริเวณปากช่องคลอดของคุณมีอาการเจ็บปวด อาการคัน หรือภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติหรือเรื้อรังหรือไม่ เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป[15]
- ลองสังเกตคุณดูว่ามีอาการเจ็บปวดยืดเยื้อที่บริเวณกระดูกเชิงกรานหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างที่คุณกำลังปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์[16]
- ระมัดระวังเมื่อมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือน เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้[17]
- ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดหากคุณพบอาการผิดปกติดังกล่าว[18]
- ตรวจเช็คอวัยวะเพศ. โรคมะเร็งปากช่องคลอดจะเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเพศหญิงที่ประกอบด้วยคลิตอริส แคม ปากช่องคลอด และผิวหนังหรือเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบ[19] หมั่นตรวจเช็คอวัยวะเพศของคุณรวมถึงเฝ้าจับตาอาการที่ผิดสังเกตเพื่อช่วยให้คุณสามารถสังเกตเห็นสัญญาณของการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้ทันท่วงที[20]
- คุณอาจใช้กระจกเพื่อช่วยให้คุณสามารถตรวจเช็คอวัยวะเพศได้ง่ายยิ่งขึ้น
- หมั่นตรวจเช็คผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดเป็นประจำเพื่อให้คุณทราบสภาวะปกติของปากช่องคลอดของคุณและสามารถระบุอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย[21]
- สังเกตดูการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผิวหนังบริเวณปากช่องคลอด เช่น สีผิวที่เปลี่ยนไปหรือความหนาของผิวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้สิ่งผิดปกติที่ดูเหมือนหูดหรือแผลเปื่อยก็อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการเกิดโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้เช่นกัน[22]
- โรคมะเร็งปากช่องคลอดมักเกิดขึ้นตรงขอบด้านในของแคมซึ่งเป็นรอยพับสองฝั่งของผิวหนังส่วนนอกของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง[23]
- คุณยังสามารถลองถามคู่รักของคุณว่าเคยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณปากช่องคลอดของคุณหรือไม่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคู่รักของคุณจะสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างได้เร็วกว่าตัวคุณเอง[24]
- ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดหากคุณพบอาการผิดปกติดังกล่าว[25]
โฆษณา
- ไปพบแพทย์. หากคุณพบสัญญาณหรืออาการผิดปกติใดๆ ของโรคมะเร็งปากช่องคลอดหรือที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งดังกล่าว คุณควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด โรคมะเร็งปากช่องคลอดมีโอกาสรักษาให้หายดีได้มาก ดังนั้นการรับการวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของขั้นตอนการรักษาให้น้อยลง[26]
- หากเป็นไปได้ให้คุณปรึกษาสูตินรีแพทย์ซึ่งมีเครื่องมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปากช่องคลอดอย่างครบครัน ซึ่งสูตินรีแพทย์อาจตัดสินใจส่งต่อคุณให้เข้ารับการรักษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะท่านอื่นๆ ในกรณีที่มีความจำเป็น
- แพทย์ของคุณจะทำการตรวจร่างกายของคุณเพื่อหาสัญญาณของโรคมะเร็งปากช่องคลอด รวมทั้งอาจสอบถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพต่างๆ ของคุณ เช่น พฤติกรรมสุขภาพและประวัติการเจ็บป่วยในอดีต[27]
- การตรวจร่างกายอาจรวมถึงการตรวจช่องคลอดด้วยเครื่องมือถ่างขยายช่องคลอด[28]
- ตรวจค้นหามะเร็งเพื่อการวินิจฉัย. หากแพทย์ตั้งข้อสงสัยว่าคุณอาจเป็นโรคมะเร็งปากช่องคลอด แพทย์ของคุณอาจตัดสินใจตรวจค้นหามะเร็งภายหลังการตรวจร่างกายของคุณซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถยืนยันถึงโรคมะเร็งปากช่องคลอดได้อย่างแน่ชัด[29]
- วิธีการตรวจค้นหามะเร็งปากช่องคลอดที่พบได้บ่อยที่สุดด้วยการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ โดยแพทย์จะทำการเก็บเซลล์หรือเนื้อเยื่อบางส่วนตรงปากช่องคลอดและส่งตรวจห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสัญญาณของโรคมะเร็ง[30]
- หากผลการตรวจยืนยันอย่างแน่ชัดว่าคุณเป็นโรคมะเร็งปากช่องคลอด คุณอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูว่าเชื้อมะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายแล้วหรือไม่[31]
- การตรวจค้นหามะเร็งเพิ่มเติมอื่นๆ อาจได้แก่การตรวจภายใน การส่องกล้องปากมดลูกด้วยคอลโปสโคป การเอกซเรย์ การตรวจซีทีสแกน และการตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้ำเหลือง[32]
- รับการรักษา. ในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง แพทย์ของคุณจะกำหนดแนวทางการรักษาโดยพิจารณาจากความรุนแรงของโรค การรักษาโรคมะเร็งสามารถทำได้หลายวิธีและอาจประสบผลสำเร็จโดยราบรื่นหากได้รับการวินิจฉัยในช่วงระยะแรกๆ ของการเกิดโรค[33]
- 4 แนวทางมาตรฐานในการรักษาโรคมะเร็งปากช่องคลอด ได้แก่ การผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด และชีวบำบัด[34]
- ในปัจจุบันการผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งปากช่องคลอดที่แพทย์นิยมใช้มากที่สุดและสามารถกำจัดเชื้อมะเร็งออกไปได้โดยไม่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ[35]
- แพทย์ของคุณจะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามความรุนแรงของโรคมะเร็งปากช่องคลอด
- พิจารณาการเข้าร่วมการวิจัยทางคลินิกซึ่งจะเปิดโอกาสให้คุณได้ทดลองเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการใหม่ๆ สำหรับโรคมะเร็งในระยะที่ 1 และ 2 อาจสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ในขณะที่โรคมะเร็งในระยะที่ 3 และ 4 อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดแบบถอนรากถอนโคนควบคู่ไปกับคีโมบำบัดและรังสีรักษา[36]
โฆษณา
คำเตือน
- อย่าละเลยต่ออาการผิดปกติที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพราะหากเซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน มะเร็งชนิดทุติยภูมิอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
- ไม่มีวิธีใดๆ ที่สามารถรักษาการติดเชื้อไวรัส HPV ให้หายได้ ดังนั้นหากคุณมีอายุต่ำกว่า 30 ปี คุณอาจพิจารณารับการฉีดวัคซีน HPV เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HPV[37]
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/vulvarcancer.html
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/vulvarcancer.html
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/risk-factors/con-20043483
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/risk-factors/con-20043483
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/risk-factors/con-20043483
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/risk-factors/con-20043483
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/risk-factors/con-20043483
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/risk-factors/con-20043483
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/vulvarcancer.html
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/vulvarcancer.html
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/cancer/vagvulv/basic_info/symptoms.htm
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/vulvar-cancer/basics/tests-diagnosis/con-20043483
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_0
- ↑ http://www.cancer.gov/types/vulvar/patient/vulvar-treatment-pdq#link/stoc_h2_3
- ↑ http://www.cdc.gov/hpv/vaccine.html
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.