ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความ

แน่นอนว่าการเดินไปตามซอกซอยในซูเปอร์มาเก็ต แล้วหยิบโยเกิร์ตสักถ้วยโยนใส่ตะกร้านั้นมันง่ายนิดเดียว แต่คุณเคยรู้สึกยั่วใจอยากลอง ทำ โยเกิร์ตในครัวของคุณเองดูบ้างรึเปล่า โยเกิร์ตที่ทำจากแบคทีเรียชนิดดีนั้นมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน อีกทั้งยังช่วยลดอาการแพ้อาหารอีกด้วย ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อเรียนรู้วิธีการทำโยเกิร์ตของคุณเองดูนะคะ

ส่วนประกอบ

  • นม 1 ควอทซ์ หรือ 946 มล. (จะเป็นประเภทใดก็ได้ แต่ถ้าใช้นมที่ "ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ในสภาวะอุณหภูมิสูง" หรือที่เรียกว่านม "UHP" หรือ "UHT" คุณสามารถข้ามขั้นตอนที่หนึ่งไปได้เลย เพราะนมชนิดนี้ได้ผ่านกระบวนการให้ความร้อนก่อนที่จะบรรจุลงกล่องแล้ว)
  • นมผงขาดมันเนย 1/4 ถึง 1/2 ถ้วย (ถ้ามี)
  • น้ำตาลทรายขาว 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับเป็นอาหารเลี้ยงเจ้าแบคทีเรีย
  • เกลือสักเหยาะ (ถ้ามี)
  • โยเกิร์ตสำเร็จรูป 2 ช้อนโต๊ะ ชนิดที่มีจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต (หรือจะใช้แบคทีเรียแช่แข็งแทนก็ได้นะคะ)
ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ผสมนมและหัวเชื้อ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 นำนมไปตั้งไฟที่ความร้อน 85ºC (185ºF).
    โดยใช้หม้อ 2 ใบ ที่สามารถใส่ใบหนึ่งซ้อนไว้ด้านในเพื่อทำเป็นหม้อต้มแบบ 2 ชั้นได้ วิธีการนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้นมไหม้ แถมคุณยังไม่ต้องคนบ่อยๆ อีกด้วย แต่ถ้าหาหม้อไม่ได้และจำเป็นต้องต้มนมโดยตรง คุณต้องคอยสังเกตนมในหม้ออยู่ตลอดและหมั่นคนบ่อยๆ และถ้าไม่มีเทอร์โมมิเตอร์ 85ºC (185ºF) คืออุณหภูมิที่นมของคุณเริ่มเดือดปุดๆ อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้คุณหาซื้อเทอร์โมมิเตอร์ที่วัดอุณหภูมิได้ในช่วง 37-100ºC (100 - 212ºF) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณวางแผนไว้ว่าจะทำโยเกิร์ตทานเองบ่อยๆ[1]
    • คุณสามารถใช้นมชนิดใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมแบบไขมันเต็ม, 2%, 1%, แบบขาดมันเนย, พาสเจอร์ไรซ์ โฮโมจิไนซ์ ออร์แกนิก นมดิบ นมข้นแบบเจือจาง นมผง นมวัว นมแพะ นมถั่วเหลือง และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม นม UHP หรือนมพาสเจอร์ไรซ์ในสภาะวะอุณหภูมิสูงนั้นจะผ่านกระบวนการให้ความร้อนสูงกว่า โปรตีนที่แบคทีเรียจำเป็นต้องใช้ในการเปลี่ยนนมเป็นโยเกิร์ตจึงถูกย่อยสลายไปเยอะแล้ว หลายคนจึงบอกว่าการทำโยเกิร์ตจากนม UHP นั้นจะยากสักหน่อย
  2. How.com.vn ไท: Step 2 วางทิ้งไว้ให้นมเย็นลงเหลือ 43ºC (110ºF).
    วิธีที่ดีที่สุดคือ การนำหม้อนมไปแช่ในอ่างน้ำเย็น ซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิของนมลดลงอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ และต้องคนบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ถ้าคุณวางนมทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องหรือนำไปแช่ตู้เย็นเพื่อให้อุณหภูมิเย็นลง คุณต้องหมั่นคนบ่อยๆ หน่อยนะ และอย่าเริ่มขั้นตอนต่อไปจนกว่านมจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 49ºC (120ºF) และต้องคอยระวังอย่าให้ต่ำกว่า 32ºC (90ºF) โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 43ºC (110ºF)
  3. How.com.vn ไท: Step 3 อุ่นหัวเชื้อ.
    หัวเชื้อหรือกล้าเชื้อเป็นแบคทีเรียที่คุณจะใส่ลงไปในนม จากนั้นมันจะสร้างแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอีก และเจ้าแบคทีเรียเหล่านี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำโยเกิร์ตของเรา ทิ้งหัวเชื้อโยเกิร์ตไว้ในอุณหภุมิห้อง ในขณะที่คุณกำลังรอให้นมเย็นลง วิธีการนี้จะช่วยให้หัวเชื้อไม่เย็นเกินไปเมื่อคุณเติมมันลงไป[2]
    • โยเกิร์ตทุกชนิดต้องการแบคทีเรียชนิด "ดี" วิธีการที่ง่ายที่สุดในการใส่แบคทีเรีย ก็คือการใช้โยเกิร์ตที่คุณมีอยู่แล้วนั่นแหละ สำหรับครั้งแรกที่คุณทำโยเกิร์ตทานเอง ให้ใช้โยเกิร์ต (ไม่มีรสชาติ) สูตรธรรมชาติที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป เพียงแต่ต้องมั่นใจว่าบนฉลากมีเขียนไว้ว่า "มีจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต" เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตนั้นจะตาย ฉะนั้น พยายามหาโยเกิร์ตที่สดใหม่ที่สุด มีรสเปรี้ยว แต่ไม่ได้เติมสารปรุงแต่งรสหรือส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเข้าไป ก่อนเริ่มทำโยเกิร์ตของคุณเอง ลองชิมโยเกิร์ตรสธรรมชาติหลายๆ แบบดูก่อนนะคะ แล้วคุณจะพบว่าโยเกิร์ตแต่ละชนิดจะมีรสชาติที่แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย ให้ใช้โยเกิร์ตที่คุณชอบเป็นหัวเชื้อของคุณ รสชาติที่แตกต่างกันนี้จะมาจากแบคทีเรียชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากแบคทีเรีย 2 ชนิดหลักที่เราจำเป็นต้องใช้ในการทำโยเกิร์ต
    • อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ แทนที่จะใช้โยเกิร์ตที่มีอยู่ คุณสามารถใช้แบคทีเรียแช่แข็ง (มีจำหน่ายในร้านเฉพาะหรือร้านค้าออนไลน์) ซึ่งนับว่าเป็นหัวเชื้อที่ไว้ใจได้มากกว่า
    • นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้โยเกิร์ตแบบปรุงแต่งรสแทนได้ แต่รสชาติของโยเกิร์ตที่ได้จากการบ่มเชื้อจุลินทรีย์จะออกมาไม่เหมือนกับการใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติเสียทีเดียว
  4. How.com.vn ไท: Step 4 เติมนมขาดมันเนย นมไขมันต่ำ หรือนมผงแบบไขมันเต็มตามความต้องการ....
    เติมนมขาดมันเนย นมไขมันต่ำ หรือนมผงแบบไขมันเต็มตามความต้องการ. การใส่นมผงประมาณ 1/4 ถ้วย ถึง 1/2 ถ้วย ในขั้นตอนนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับโยเกิร์ต และยังทำให้โยเกิร์ตข้นขึ้นง่ายกว่าอีกด้วย วิธีการนี้จะช่วยได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้นมแบบขาดมันเนย
  5. How.com.vn ไท: Step 5 เติมหัวเชื้อลงไปในนม.
    ใส่โยเกิร์ตที่มีอยู่แล้ว 2 ช้อนโต๊ะ หรือใส่แบคทีเรียแช่แข็งลงไป คนด้วยที่ตีไข่ หรือใช้เครื่องปั่น (เช่น เครื่องปั่นแบบมือถือ) เพื่อปั่นให้แบคทีเรียกระจายไปทั่วๆ ถ้านมของคุณยังมีเส้นใย แสดงว่าคุณอาจจะต้มนมเร็วหรือนานเกินไป (เติมน้ำร้อนลงไป) ในกรณีนี้ ให้ใช้หม้อต้มแบบสองชั้น หรืออย่างน้อยก็ให้หมั่นคนบ่อยๆ และใช้เทอร์โมมิเตอร์ตรวจสอบอุณหภูมิ ในพื้นที่สูง สิ่งนี้อาจจะสร้างปัญหามากขึ้นอีก
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

บ่มเชื้อแบคทีเรีย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 เทส่วนผสมลงในภาชนะ.
    เทนมลงในภาชนะ 1 ใบ หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ จากนั้นนำฝาหรือแผ่นพลาสติกมาปิดภาชนะแต่ละใบให้สนิท[3]
    • ถ้าคุณสนใจ คุณจะลองใช้ครอบแก้วดูก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นหรอกนะ
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ทิ้งให้แบคทีเรียบ่มเพาะตัว.
    รักษาอุณหภูมิของโยเกิร์ตให้อุ่นและน้ำนิ่ง เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยรักษาอุณหภูมิให้ใกล้เคียงกับ 38ºC (100ºF) ให้มากที่สุด ยิ่งเชื้อแบคทีเรียมีเวลาเพาะตัวมากเท่าไร โยเกิร์ตที่ได้ก็จะยิ่งข้นและเปรี้ยวมากเท่านั้น
    • วางโยเกิร์ตให้นิ่งในระหว่างรอแบคทีเรียเพาะเชื้อ การกระตุกอาจไม่ได้ทำโยเกิร์ตของคุณพัง แต่จะทำให้ต้องใช้เวลาในการเพาะเชื้อนานขึ้น
    • หลังจากผ่านไป 7 ชั่วโมง โยเกิร์ตของคุณจะมีผิวเหมือนคัสตาร์ด มีกลิ่นเหมือนชีส และอาจมีของเหลวสีเขียวๆ อยู่ด้านบน นี่แหละคือสิ่งที่คุณต้องการ และยิ่งคุณวางทิ้งไว้นานกว่า 7 ชั่วโมงมากเท่าไร โยเกิร์ตของคุณก็จะยิ่งข้นและเปรี้ยวมากเท่านั้น
  3. How.com.vn ไท: Step 3 เลือกวิธีการบ่มโยเกิร์ตของคุณ.
    วิธีการบ่มโยเกิร์ตนั้นมีอยู่มากมายหลากหลายวิธี ให้ใช้เทอร์โมมิเตอร์เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ และเลือกวิธีการที่สะดวกและทำได้อย่างต่อเนื่องมากที่สุดสำหรับคุณ โดยวิธีการที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ การใช้เครื่องทําโยเกิร์ต วิธีการที่ถูกต้องในการทำโยเกิร์ตมีอธิบายไว้ในขั้นตอนต่อไปนี้[4]
    • คุณสามารถใช้หลอดไฟแสดงสถานะบนเตาได้เช่นเดียวกัน หรือจะอุ่นเตาจนได้อุณหภูมิที่ต้องการ ปิดตัวทำความร้อนและเปิดเครื่องทิ้งไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิ และคอยเปิดตัวทำความร้อนเป็นช่วงๆ ตามความเหมาะสมเพื่อรักษาอุณหภูมิของเตา วิธีการนี้อาจจะยุ่งยากสักหน่อย และต้องคอยระวังไม่ให้เตาร้อนเกินไป หรืออาจจะใช้โปรแกรมหมักแป้งหากมีในเตาอบของคุณ
    • วิธีการอื่นๆ คือการใช้เครื่องอบแห้งอาหาร ตั้งค่าอุ่นหม้อหุงข้าว ใช้กระเป๋าน้ำร้อนโดยตั้งเป็นความร้อนต่ำ หรือใช้หม้อตุ๋นโดยตั้งค่าเป็นต่ำสุด
    • ถ้าคุณไม่มีสิ่งของเหล่านี้ คุณสามารถใช้หน้าต่างที่แดดส่องถึงหรือรถที่จอดทิ้งไว้กลางแดด เพียงแต่ต้องจำไว้ว่านมที่โดนแดดอาจมีคุณค่าทางอาหารน้อยลง วิธีการที่ดีที่สุดคือการรักษาอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 49ºC (120ºF) แต่อย่าให้ต่ำกว่า 32ºC (90ºF) โดยอุณหภูมิที่ดีที่สุดคือ 43ºC (110ºF)[5] นอกจากนี้ คุณยังสามารถเทน้ำอุ่นลงในอ่างล้างจาน ชามใบใหญ่ๆ หรือกระติกปิคนิคขนาดเล็ก แล้ววางภาชนะโยเกิร์ตลงไปบนน้ำอุ่น
  4. How.com.vn ไท: Step 4 เลือกเครื่องทำโยเกิร์ต.
    ถ้าคุณตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เครื่องทำโยเกิร์ต (ซึ่งเป็นสิ่งที่เราแนะนำ) ในปัจจุบันเครื่องทำโยเกิร์ตแบบขายปลีกนั้นมีอยู่มากมายหลายประเภท เครื่องทำโยเกิร์ตทำให้คุณสามารถบ่มเชื้อแบคทีเรียโยเกิร์ตได้อย่างปลอดภัยและควบคุมเวลาได้เหมาะสมที่สุด
    • เครื่องทำโยเกิร์ตแบบทนความร้อนที่ไม่มีการตั้งเวลาเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมทั่วไปเพราะมีราคาถูก อุปกรณ์ชนิดนี้มักจะมีราคาถูกกว่าเพราะออกแบบมาโดยไม่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งจำเป็นสำหรับการการบ่มเพาะเชื้อแบคทีเรียโยเกิร์ตในผลิตภัณฑ์นม เครื่องประเภทนี้จะออกแบบมาสำหรับอุณหภูมิห้องทั่วไป และอุณหภูมิแวดล้อมที่ต่ำหรือสูงกว่านี้สามารถเปลี่ยนระยะเวลาที่ใช้ในการทำโยเกิร์ต รวมถึงคุณภาพของโยเกิร์ตที่คุณทำ เครื่องทำโยเกิร์ตรูปแบบนี้มักจะมาพร้อมถ้วยใบเล็กๆ ซึ่งต้องนำมาใช้ซ้ำๆ ในแต่ละสัปดาห์หากต้องการทำโยเกิร์ตไว้ทานทุกวัน และสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ เครื่องแบบนี้อาจจะใช้ได้ไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องใช้เวลานานในการทำโยเกิร์ตปริมาณมาก
    • เครื่องทำโยเกิร์ตที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิจะมีราคาสูงกว่า เนื่องจากต้องใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรักษาอุณหภูมิตามค่าที่ตั้งไว้ เครื่องทำโยเกิร์ตแบบนี้มีอยู่ 2 ประเภท:
    • อีกประเภทจะมีการตั้งอุณหภูมิมาจากโรงงาน (อาจมีหรือไม่มี) ซึ่งอุณหภูมิจะคงที่ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร สำหรับประเภทนี้คุณจะไม่สามารถปรับค่าอุณหภูมิได้
    • เครื่องทำโยเกิร์ตบางประเภทจะรวมเอาคุณสมบัติที่พบในแบบต่างๆ ข้างต้น เช่น เครื่องทำโยเกิร์ตที่มีการตั้งค่าจากโรงงานเพื่อควบคุมอุณหภูมิ พร้อมจอแสดงเวลาและระบบตัดการทำงาน เครื่องประเภทนี้สามารถทำโยเกิร์ตคุณภาพดีได้โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง เพราะการใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าการบ่มเชื้อจุลินทรีย์ในอุณหภูมิห้องอย่างที่นิยมทำกัน นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถใช้ภาชนะที่มีขนาดใหญ่กว่าถ้วยตวงได้อีกด้วย แม้เครื่องทำโยเกิร์ตประเภทนี้จะมาพร้อมภาชนะหลายขนาด คุณสามารถใช้ภาชนะขนาด 1 แกลลอน หรือภาชนะปากกว้างขนาด 1 ควอทซ์จำนวน 4 ใบเพื่อทำโยเกิร์ตปริมาณ 1 แกลลอนต่อหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม หากใช้ขวดโหลทรงสูง คุณอาจจำเป็นต้องใช้ฝาขนาดใหญ่ขึ้นหรือผ้าขนหนูสำหรับปิดช่องว่างระหว่างปากและก้นขวด (ควบคุมความร้อนที่เกิดขึ้น)
  5. How.com.vn ไท: Step 5 รู้ประโยชน์ของเครื่องทำโยเกิร์ต.
    ผู้ใช้สามารถปรับค่าอุณหภูมิของเครื่องทำโยเกิร์ตเพื่อรักษาอุณหภูมิให้เหมาะกับการบ่มเพาะเชื้อแบคทีเรียในโยเกิร์ต เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว เครื่องจะสามารถรักษาอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ไม่ว่าบ้านหรือห้องครัวของคุณจะร้อนหรือเย็น
    • เครื่องทำโยเกิร์ตทำให้ผู้ใช้สามารถตั้งเวลาที่ต้องการให้เครื่องให้ความร้อนแก่ภาชนะ โปรแกรมตั้งเวลานี้อาจเป็นประโยชน์ แต่หากคุณจำเป็นต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้ เราขอแนะนำให้คุณอยู่ใกล้ๆ เครื่องเข้าไว้ (อยู่ในบ้าน) เพื่อจะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงทีหากมีอะไรเกิดผิดพลาดขึ้นมา (เช่นเครื่องไม่หยุดทำงาน) ซึ่งอาจเกิดขึ้นไม่บ่อย
  6. How.com.vn ไท: Step 6 ใส่ภาชนะใส่นมและหัวเชื้อที่เย็นลงแล้วเข้าไปในเครื่องทำโยเกิร์ต....
    ใส่ภาชนะใส่นมและหัวเชื้อที่เย็นลงแล้วเข้าไปในเครื่องทำโยเกิร์ต. อย่าลืมเกลี่ยเนื้อให้เท่าๆ กันและวางภาชนะให้ตรง (คุณคงไม่อยากให้โยเกิร์ตของคุณหักลงหรือหกออกมา)[6]
  7. How.com.vn ไท: Step 7 ปิดฝาเพื่อกักเก็บความร้อน.
    เพื่อรักษาอุณหภูมิของภาชนะให้แบคทีเรียในผลิตภัณฑ์นมที่เริ่มแข็งตัวในภาชนะได้เจริญเติบโตและพยายามทำโยเกิร์ต
  8. How.com.vn ไท: Step 8 ตรวจดูว่าโยเกิร์ตแข็งตัวแล้วรึยัง.
    เมื่อครบกำหนดเวลา ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแบคทีเรียที่คุณใช้ อุณหภูมิ รวมถึงสารอาหารในผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์นมของคุณจะเริ่มแข็งตัวจนข้นเหมือนโยเกิร์ต ซึ่งอาจใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่ก็อาจนานถึง 12 ชั่วโมงหรือนานกว่านี้ หากใช้เวลาน้อย คุณมักจะได้โยเกิร์ตที่เนื้อไม่ค่อยข้น แต่ถ้าบ่มไว้นานๆ จะทำให้แบคทีเรียของคุณได้เติบโตจนสมบูรณ์ สำหรับเพื่อนๆ ที่แพ้นม การบ่มไว้นานๆ จะทำให้โยเกิร์ตย่อยง่ายขึ้นอีกด้วยนะคะ
  9. How.com.vn ไท: Step 9 นำภาชนะออกมา.
    เมื่อโยเกิร์ตเริ่มข้นๆ หนืดๆ และทิ้งไว้ครบตามเวลาที่ต้องการแล้ว ให้นำภาชนะออกจากเครื่องทำโยเกิร์ตแล้วนำเข้าตู้เย็นเพื่อแช่เก็บไว้จนกว่าจะทาน ภาชนะที่อาจจะมากับเครื่องทำโยเกิร์ต อาจจะเป็นถ้วยใบเล็กๆ ที่ผู้ใช้สามารถตักทานจากถ้วยได้เลย ส่วนคนที่ต้องการทำโยเกิร์ตปริมาณมากๆ ไว้ทานเป็นประจำ คุณสามารถใส่ภาชนะขนาด 1 แกลลอนเข้าไปในเครื่องทำโยเกิร์ตบางชนิดได้
  10. How.com.vn ไท: Step 10 ตรวจดูว่าโยเกิร์ตของคุณพร้อมทานแล้วรึยัง.
    ลองเขย่าภาชนะสักใบเบาๆ ถ้าโยเกิร์ตพร้อมทาน มันจะไม่ขยับเขยื้อนเลย จากนั้นคุณก็สามารถนำภาชนะออกจากเครื่องและใส่เข้าตู้เย็นได้เลย หรืออาจรอให้มันข้นขึ้นอีกหน่อยสัก 12 ชั่วโมงหรือนานกว่านี้
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เพิ่มเนื้อสัมผัส

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 กรองโยเกิร์ตด้วยผ้ากรองเพื่อให้เนื้อข้นขึ้น....
    กรองโยเกิร์ตด้วยผ้ากรองเพื่อให้เนื้อข้นขึ้น. วางผ้าลงบนกระชอน แล้ววางกระชอนลงบนชามใบใหญ่ๆ เพื่อกรองหางนมซึ่งจะมีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองบางๆ ออกมา จากนั้นเทโยเกิร์ตลงบนกระชอน นำจานมาครอบกระชอนไว้ แล้วนำเข้าตู้เย็นทั้งชุด กรองทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อให้ได้กรีกโยเกิร์ต และกรองทิ้งไว้สักหนึ่งคืนหากต้องการให้โยเกิร์ตเนื้อข้นขึ้นจนเหมือนครีมชีสนุ่มๆ
  2. How.com.vn ไท: Step 2 นำโยเกิร์ตไปแช่เย็น.
    ใส่โยเกิร์ตไว้ในช่องแช่แข็งสักหลายๆ ชั่วโมงก่อนนำไปเสิร์ฟ โดยสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 1 ถึง 2 สัปดาห์ แต่ถ้าจะใช้โยเกิร์ตที่ได้เป็นหัวเชื้อ ให้ใช้ภายใน 5 ถึง 7 วันนะคะ แบคทีเรียของคุณจะได้ยังมีแรงเติบโต หางนมจะจับตัวอยู่ด้านบนสุด คุณสามารถเทออกหรือคนให้เข้ากันก่อนนำมาทานก็ได้[7]
    • โยเกิร์ตที่วางจำหน่ายจำนวนมากจะมีสารให้ความข้น เช่น เพกทิน แป้ง กัม หรือเจลาติน จึงไม่ต้องแปลกใจหรือรู้สึกกังวลไปถ้าโยเกิร์ตโฮมเมดของคุณจะเหลวกว่าสักหน่อยเพราะไม่ได้เติมสารให้ความข้นเหล่านี้ลงไป ใส่โยเกิร์ตไว้ในช่องแช่แข็งให้โยเกิร์ตเย็นลงก่อนที่จะเปลี่ยนไปแช่เย็นธรรมดาเพื่อให้เนื้อโยเกิร์ตนุ่มขึ้น นอกจากนี้ คุณยังสามารถคนหรือเขย่าก้อนโยเกิร์ตได้อีกด้วย
  3. How.com.vn ไท: Step 3 เพิ่มรสชาติตามใจชอบ.
    ทดลองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รสชาติที่ต่อมรับรสของคุณปลื้มแบบสุดๆ ไส้พายกระป๋อง แยม น้ำเชื่อมเมเปิล และไอศครีมฟัดจ์ให้รสชาติดีทีเดียวเลยล่ะค่ะ สำหรับคนรักสุขภาพ ให้ใช้ผลไม้สด แล้วเติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งอีกสักหน่อยก็ได้นะคะ
  4. How.com.vn ไท: Step 4 ใช้โยเกิร์ตที่ได้จากครั้งนี้เป็นหัวเชื้อสำหรับการทำโยเกิร์ตครั้งต่อไป....
    ใช้โยเกิร์ตที่ได้จากครั้งนี้เป็นหัวเชื้อสำหรับการทำโยเกิร์ตครั้งต่อไป.
  5. How.com.vn ไท: Step 5 เสร็จเรียบร้อย.
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • โยเกิร์ตที่วางจำหน่ายทั่วไปมักจะเติมความหวานลงไปเยอะ การทำโยเกิร์ตของคุณเองจึงนับเป็นวิธีการดีๆ ในการหลีกเลี่ยงปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป
  • ยิ่งบ่มส่วนผสมไว้นานเท่าไร โยเกิร์ตของคุณก็จะยิ่งข้นและเปรี้ยวมากเท่านั้น
  • การใส่โยเกิร์ตไว้ในช่องแช่แข็งให้โยเกิร์ตเย็นลงก่อนที่จะเปลี่ยนไปแช่เย็นธรรมดาจะทำให้เนื้อโยเกิร์ตนุ่มขึ้น นอกจากนี้ คุณยังสามารถคนหรือเขย่าก้อนโยเกิร์ตได้อีกด้วย
  • ในเครื่องทำโยเกิร์ตเกือบทุกประเภท คุณจำเป็นต้องเติมน้ำด้านใต้เครื่อง เพื่อให้สามารถกระจายความร้อนไปยังภาชนะได้ง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำที่มากับเครื่องทำโยเกิร์ตของคุณดูนะคะ
  • การใช้หม้อต้มแบบ 2 ชั้นจะทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ง่ายขึ้น
  • เตรียมเทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดโน่นนี่ไว้ให้พร้อมอยู่เสมอ คุณสามารถใช้เทอร์โมมิเตอร์เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิน้ำ (หากใช้เพื่อรักษาอุณหภูมิของโยเกิร์ตให้อุ่นในขณะที่โยเกิร์ตเริ่มแข็งตัว) เพื่อช่วยให้เนื้อโยเกิร์ตแข็งตัว
โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าโยเกิร์ตของคุณมีกลิ่น รสชาติ หรือหน้าตาแปลกๆ อย่าทานเด็ดขาด "ถ้าไม่แน่ใจก็เททิ้งไปเลย!!" แล้วลองทำใหม่ด้วยของชุดใหม่ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น โยเกิร์ตโฮมเมดของคุณก็จะมีหน้าตาแตกต่างจากโยเกิร์ตที่คุณซื้อตามร้านค้าอยู่เหมือนกัน เพราะโยเกิร์ตของคุณไม่มีสารกันบูด สารทำความข้น ฯลฯ ที่ใส่ลงไปในโยเกิร์ตที่วางจำหน่ายทั่วไป เนื้อของมันจึงมักจะเหลวกว่าโยเกิร์ตที่คุณคุ้ยเคย และหางนม (ของเหลวสีใสบางๆ) จะแยกตัวออกมา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่มันจะมีกลิ่นหอมหวาน คล้ายๆ กับชีสหรือขนมปังที่เพิ่งอบใหม่ๆ
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • หม้อ
  • ช้อนโลหะ
  • เทอร์โมมิเตอร์วัดน้ำตาล
  • หม้อต้มแบบสองชั้น (ถ้ามี)
  • ภาชนะมีฝาปิด
  • เตาอบ
  • ตู้เย็น

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

How.com.vn ไท: Ollie George Cigliano
ร่วมเขียน โดย:
เชฟส่วนตัวและครูสอนการทำอาหาร
บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Ollie George Cigliano. ออลี จอร์จ ซิกลิอาโนเป็นเชฟส่วนตัว ครูสอนการทำอาหาร และเจ้าของ Ollie George Cooks ซึ่งตั้งอยู่ที่ลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอเชี่ยวชาญการใช้ส่วนผสมที่สดใหม่ให้เกิดประโยชน์และความสนุก รวมทั้งการนำเทคนิคการทำอาหารแบบดั้งเดิมมาผสมผสานกับเทคนิคการทำอาหารแบบใหม่ โดยมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ออลี จอร์จได้รับปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวรรณคดีเปรียบเทียบ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์และได้รับประกาศนียบัตรด้านโภชนาการและการดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีจากมหาวิทยาลัยอีคอร์เนล บทความนี้ถูกเข้าชม 57,495 ครั้ง
หมวดหมู่: สูตรอาหาร
มีการเข้าถึงหน้านี้ 57,495 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

⚠️ Disclaimer:

Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.

Notices:
  • - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
  • - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
  • - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
  • - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.

โฆษณา