ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความ

อาการเป็นลมคือการหมดสติในระยะเวลาสั้นๆ และหลังจากนั้นจะกลับมาได้สติอีกครั้ง [1] อาการเป็นลมในภาษาอังกฤษใช้คำว่า fainting หรือทางการแพทย์เรียกว่า syncope มีสาเหตุมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วคราว ทำให้ความดันเลือดต่ำ ส่วนมากผู้ป่วยมักกลับมาได้สติอีกครั้งภายใน 1-2 นาทีหลังจากเป็นลม[2] สาเหตุของการเป็นลมมีมากมายตั้งแต่การขาดน้ำหรือการลุกทันทีหลังจากนั่งเป็นเวลานานไป จนถึงโรครุนแรงที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คุณจะทำอย่างไรหากเห็นคนเป็นลมหรือตัวคุณเองเป็นลมล่ะ?

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

การช่วยคนที่เป็นลม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 ให้ผู้ป่วยนอนลง.
    ถ้าเห็นผู้ป่วยมีทีท่าว่าจะเป็นลม ให้รีบพยุงตัวผู้ป่วยลงนอนกับพื้นราบ เวลาคนเป็นลม เราจะไม่สามารถป้องกันการล้มแรงๆ โดยใช้มือยันได้ โดยปกติแล้วแม้ว่าผู้ที่เป็นลมจะไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่เพื่อเป็นการป้องกันหัวผู้ป่วยฟาดพื้นจึงควรพยุงผู้ป่วยไว้ แน่นอนว่าคุณควรพยุงผู้ป่วยเฉพาะเวลาที่เห็นว่าคุณรับน้ำหนักผู้ป่วยไหว ถ้าผู้ป่วยตัวใหญ่กว่าคุณมาก อาจทำให้เกิดอันตรายกับทั้งคู่ได้
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ให้ผู้ป่วยนอนลงกับพื้นราบ.
    สะกิดหรือเขย่าตัวผู้ป่วยเพื่อเช็คว่าผู้ป่วยมีสติหรือยัง ส่วนมากคนที่เป็นลมจะฟื้นคืนสติได้เร็ว (ประมาณ 20 วินาทีถึง 2 นาที) [3]
    • เวลาคนเป็นลม เขาจะล้มลง ซึ่งทำให้ตำแหน่งหัวอยู่ระดับตรงกับหัวใจ ในตำแหน่งนี้จะทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีกว่าเดิม ดังนั้นผู้ป่วยจึงมีสติกลับมาได้รวดเร็ว [4]
    • ถ้าผู้ป่วยได้สติ ให้ถามอาการที่ผู้ป่วยรู้สึกก่อนหมดสติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นลม อาการที่น่าเป็นห่วงได้แก่ ปวดหัว ชัก เหน็บชา เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หากมีอาการดังกล่าวให้ติดต่อหน่วยบริการฉุกเฉิน [5]
  3. How.com.vn ไท: Step 3 ให้ผู้ป่วยพักเมื่อได้สติ.
    ปลดเสื้อผ้าที่รัดแน่น เช่น เน็คไท เสื้อที่มีปก เพื่อทำให้ผู้ป่วยสบายตัวมากขึ้น
    • ให้ผู้ป่วยนอนลงบนพื้นราบ พักประมาณ 15-20 นาที เวลาประมาณนี้จะช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ [6]
    • ให้ผู้ป่วยอยู่ในที่โปร่งหายใจได้สะดวกและพัดให้ผู้ป่วยได้รับอากาศที่มากพอ ถ้าเป็นลมในที่สาธารณะ คนมักมามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เราจึงต้องบอกให้คนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ถอยห่าง เพื่อให้อากาศถ่ายเท เว้นเสียแต่ว่าคนเหล่านั้นสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้
    • เมื่อผู้ป่วยฟื้นได้สติดีแล้ว ให้น้ำหรืออาหาร เพราะน้ำและอาหารจะช่วยเพิ่มพลังให้สดชื่น การขาดน้ำหรือน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสาเหตุต้นๆ ที่ทำให้เป็นลม
    • อย่าให้ผู้ป่วยลุกเร็วเกินไป พยายามให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ สักพักเพื่อให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองได้เต็มที่ นอกจากนี้ถ้าให้ผู้ป่วยลุกเร็วเกินไป อาจทำให้เป็นลมอีกได้ ทันทีที่ผู้ป่วยได้สติครบถ้วนแล้ว ผู้ป่วยอาจจะพยายามยืนและเดินเร็วเกินไป
    • ถ้าผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บที่หัวหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ปวดหัวรุนแรง ฯลฯ หรือมีอาการเจ็บป่วยก่อนหน้า เช่น โรคหัวใจ หรือตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์
  4. How.com.vn ไท: Step 4 ตรวจชีพจรถ้าเวลาผ่านไปนานแล้วผู้ป่วยยังไม่ได้สติ....
    ตรวจชีพจรถ้าเวลาผ่านไปนานแล้วผู้ป่วยยังไม่ได้สติ. [7] โทรหรือให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์โทรหาหน่วยบริการฉุกเฉิน อาจหาเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติมาใช้ เริ่มจากจับชีพจรบริเวณคอของผู้ป่วย เพราะจะจับชีพจรได้ชัดเจนที่สุด วางนิ้วชี้และนิ้วกลางบนคอบริเวณข้างหลอดลมและจับชีพจร [8]
    • วัดชีพจรทีละข้าง การจับชีพจรทั้งสองข้างจะทำให้รู้ว่ามีเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหรือไม่
    • หากจับชีพจรได้ ให้ยกขาผู้ป่วยขึ้นทั้งสองข้างเหนือพื้น เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง
  5. How.com.vn ไท: Step 5 เริ่มทำการซีพีอาร์หากไม่สามารถจับชีพจรได้.
    ถ้าทำซีพีอาร์ไม่เป็น ให้หาคนใกล้ตัวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มาช่วยเหลือ [9]
    • นั่งคุกเข่าข้างผู้ป่วย
    • วางฝ่ามือข้างหนึ่งตรงกลางอกผู้ป่วย
    • วางฝ่ามืออีกข้างทับมือแรก
    • ห้ามงอศอก
    • ออกแรงส่วนบนของคุณทั้งหมดกดลงที่หน้าอกผู้ป่วย
    • อกผู้ป่วยจะต้องยุบลงไปอย่างต่ำ 2 นิ้วในขณะที่คุณออกแรงกด
    • กดหน้าอกผู้ป่วยประมาณ 100 ครั้งต่อนาที
    • กดหน้าอกไปเรื่อยๆ จนกว่าหน่วยบริการฉุกเฉินจะมาถึงและรับหน้าที่ต่อ
  6. How.com.vn ไท: Step 6 ต้องมีสติและให้กำลังใจผู้ป่วย.
    การมีสติจะทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้ดีและทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

การดูแลตนเองเมื่อเป็นลม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 สังเกตอาการก่อนเป็นลม.
    ถ้าคุณเป็นลมบ่อย แนะนำให้จดจำสัญญาณที่มักเกิดขึ้นก่อนการเป็นลม อาจจดใส่สมุดเกี่ยวกับอาการเหล่านั้น ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่ากำลังจะเป็นลม คุณควรเตรียมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับอาการ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น สัญญาณที่แสดงว่าคุณอาจจะเป็นลมได้แก่:[10]
    • อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ
    • ตาพร่า เห็นจุดสีดำหรือขาว มองภาพเบลอ
    • รู้สึกร้อนจัด เหงื่อออกมาก
    • ท้องไส้ปั่นป่วน
  2. How.com.vn ไท: Step 2 หากรู้สึกว่าจะเป็นลม ให้หาที่พักนอน.
    ยกขาขึ้นสูงเพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง
    • ถ้านอนบนพื้นราบไม่ได้ ให้นั่งลงให้หัวอยู่ระหว่างเข่าทั้งสองข้าง
    • พักประมาณ 10-15 นาที
  3. How.com.vn ไท: Step 3 หายใจลึกๆ.
    หายใจลึกๆ เข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก วิธีนี้ช่วยให้มีสติมากขึ้นอีกด้วย
  4. How.com.vn ไท: Step 4 ร้องขอความช่วยเหลือ.
    การขอความช่วยเหลือเป็นความคิดที่ดีมากเพราะคนอื่นจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา อาจมีคนช่วยพยุงตัว พาไปนอนพักและพาไปพบแพทย์ได้ทันทีที่ต้องการ
  5. How.com.vn ไท: Step 5 ดูแลตัวเองให้ปลอดภัย.
    ถ้าคุณคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม รีบพาตัวเองออกมาจากสิ่งที่อาจเป็นอันตราย เพื่อลดการบาดเจ็บรุนแรงที่อาจเกิดจากการเป็นลม
    • ยกตัวอย่างเช่น อยู่ให้ห่างจากของแหลมคม เวลาเป็นลมล้มลงจะได้ไม่เป็นอันตราย
  6. How.com.vn ไท: Step 6 หาทางป้องกันการเป็นลมล่วงหน้า.
    ในหลายกรณีการเป็นลมสามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสาเหตุที่มักก่อให้เกิดการเป็นลม การป้องกันการเป็นลมหลักๆ ได้แก่:
    • ดื่มน้ำและกินข้าวให้เพียงพอ: การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อาจดื่มเครื่องดื่มอย่างอื่นด้วยก็ได้เพื่อป้องกันการขาดน้ำ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนมาก การกินอาหารให้ตรงเวลาเพียงพอและดีต่อสุขภาพจะช่วยลดอาการคลื่นไส้หรืออาการอ่อนเพลียที่เกิดจากความหิวได้
    • หลีกเลี่ยงความเครียด: หลายคนเป็นลมเพราะเกิดจากความเครียด ความกังวล ความไม่สบายใจในสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้นหากสามารถสงบสติอารมณ์ได้หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้นได้ก็จะดีมาก
    • หลีกเลี่ยงยาเสพติด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่: สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยสารพิษและไม่ดีต่อร่างกายซึ่งสามารถนไปสู่การเป็นลมได้
    • อย่าเปลี่ยนท่าทางการเคลื่อนไหวเร็วเกินไป: การเป็นลมสามารถเกินจากการเคลื่อนที่ที่เร็วฉับพลัน เช่น การยืนขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั่งหรือนอน ลองลุกขึ้นยืนช้าๆ อาจหาที่จับเพื่อให้เคลื่อนที่อย่างสมดุลมากขึ้นก็ได้
  7. How.com.vn ไท: Step 7 ปรึกษาแพทย์หากยังเป็นลมบ่อยๆ.
    ถ้าคุณเป็นลมเป็นประจำ ต้องรีบพบแพทย์เพราะการเป็นลมอาจเป็นอาการของโรคหรือปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ความดันตกจากการเปลี่ยนท่าร่าง
    • ควรพบแพทย์หากเป็นลมแล้วหัวกระแทก ตั้งครรภ์ เป็นโรคเบาหวาน มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือโรคอื่นๆ หรือถ้าคุณมีอาการอื่นๆ ตามมาเช่น เจ็บหน้าอก มึนงง หายใจถี่ [11]
    • แพทย์จะซักประวัติคุณเพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการเป็นลม อาจมีการทดสอบเช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การทำงานของเลือด
    โฆษณา

คำเตือน

  • การเป็นลมอาจเกิดขึ้นปกติสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยน นอกจากนี้ยังเป็นเพราะมดลูกขยายตัวกดทับหลอดเลือดส่งผลให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์เป็นลม
  • อาการเป็นลมมักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และยิ่งเกิดมากในผู้สูงวัยอายุมากกว่า 75 ปี[12]
โฆษณา

เคล็ดลับ

  • พยายามหาสาเหตุของการเป็นลมให้ได้ เช่น ความเครียด การยืนนานเกินไป ฯลฯ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

How.com.vn ไท: Ronn Callada, RN, MS
ร่วมเขียน โดย:
พยาบาลฝึกหัด
บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Ronn Callada, RN, MS. รอนน์ คาลลาดาเป็นพยาบาลฝึกหัดในศูนย์มะเร็ง Memorial Sloan Kettering ในนิวยอร์ก เขาได้รับปริญญาพยาบาลศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสโตนนีบรูคในปี 2013 บทความนี้ถูกเข้าชม 4,502 ครั้ง
มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,502 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

⚠️ Disclaimer:

Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.

Notices:
  • - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
  • - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
  • - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
  • - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.

โฆษณา