ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความ

เกรด C ก็เรียนจบได้เหมือนกัน แต่มีแค่รายงานที่ได้ A+ เท่านั้นที่จะได้ครองพื้นที่บนตู้เย็นของคุณยายหรือของคุณเอง คุณเคยพยายามเขียนรายงานแบบสุดติ่งกระดิ่งแมว แต่สุดท้ายก็ยังได้คะแนนงั้นๆ หรือเปล่า ถ้างั้นเดินไปบอกคุณยายเลยว่าเตรียมแม็กเน็ตให้พร้อม เพราะแค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ รับรองว่ารายงานประจำภาคเรียนของคุณจะต้องคะแนนนำโด่งคนอื่นๆ ในห้องแน่

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 1:

เขียนรายงานประจำภาคเรียน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 เลือกหัวข้อ.
    พยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเลือกหัวข้อให้มากที่สุด ถ้าคุณสามารถเลือกหัวข้อได้เอง ให้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เลือกหัวข้อที่คุณสนใจเป็นพิเศษเพราะมันจะช่วยให้เขียนง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามเลือกหัวข้อที่เกิดจากคำถามที่น่าสนใจที่คุณเองก็อยากจะค้นคว้าเพื่อหาคำตอบอยู่แล้ว พอเลือกหัวข้อได้แล้วก็อย่าลืมลดทอนหัวข้อใหญ่ลงมาให้เป็นหัวข้อที่คุณทำได้จริงๆ เพราะหัวข้อในตอนเริ่มแรกมักจะมีขอบเขตที่กว้างเกินไปและไม่สามารถเขียนให้เสร็จได้ภายในเวลาและความยาวที่กำหนด เพราะฉะนั้นจำกัดหัวข้อให้แคบลงมาเพื่อที่คุณจะได้ลงมือเขียนตามขอบเขตของรายงานได้ แต่ถ้าอาจารย์กำหนดหัวข้อมาให้แล้ว ให้เริ่มจากการสำรวจมุมมองในหัวข้อนั้นๆ ที่ต่างออกไปก่อน เพื่อให้เนื้อหาและรายงานของคุณแตกต่างจากมุมมองที่ชัดเจนที่หลายคนน่าจะเลือกเขียน[1] แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะเลือกเขียนมุมไหนในหัวข้อนั้นก็แล้วแต่ มุมที่คุณเขียนควรใช้วิธีการมองในแบบของคุณเองและแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจหัวข้อนั้นอย่างลึกซึ้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านและทำให้ผู้อ่านรู้สึกทึ่ง fascinated by.
    • ระวังอย่าเลือกหัวข้อและตั้งมั่นว่าผลลัพธ์ของรายงานจะเป็นอย่างไร จนกลายเป็นว่าคุณจมอยู่กับแนวความคิดและวิธีการคิดใหม่ๆ ขณะค้นคว้า ซึ่งเป็นสิ่งที่วงวิชาการเรียกกันว่า "การยึดมั่นในกระบวนการคิดเร็วเกินไป" (premature cognitive commitment)[2] เพราะมันอาจจะเป็นทำให้รายงานที่น่าจะดีออกมาแย่ได้ ระหว่างค้นคว้าไม่ว่าคุณจะเจอผลการวิจัยแบบไหน แต่ถ้าคุณมีผลลัพธ์ในหัวอยู่ก่อนแล้ว คุณก็จะพยายามทำให้ข้อมูลมันสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ แทนที่จะเป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนการวิเคราะห์สิ่งที่ค้นพบอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นให้คุณตั้งคำถามเกี่ยวกับหัวข้อที่ศึกษาในแต่ละขั้นตอนของการค้นคว้าและการเขียนรายงานอยู่เสมอ และมองว่าหัวข้อนั้นเป็น "สมมุติฐาน" ไม่ใช่บทสรุป วิธีนี้จะทำให้คุณพร้อมที่จะถูกท้าทายหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนความคิดขณะค้นคว้า
    • ข้อคิดเห็น ความเห็น และข้อมูลที่คนอื่นเขียนเกี่ยวกับหัวข้อนั้นมักจะเป็นประโยชน์ในการขัดเกลางานของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อคิดเห็นที่บอกว่าต้องมี "การค้นคว้าเพิ่มเติม" หรือเมื่อมีการตั้งคำถามที่ท้าทายและยังไม่มีคำตอบ
    • คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บทความวิธีการ เขียนรายงาน
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ค้นคว้า.
    ไม่มีประโยชน์ที่จะเขียนรายงานก่อนที่จะค้นคว้าเพราะคุณต้องเข้าใจความเป็นมาของหัวข้อและแนวคิดในปัจจุบัน รวมทั้งค้นหาด้วยว่าในหัวข้อนี้ยังต้องมีการค้นคว้าต่อไปในเรื่องใดบ้าง[3] แม้ว่าคุณจะอยากพ่นทุกอย่างที่คุณรู้ดีอยู่แล้วลงไปรายงานรวดเดียวมากแค่ไหน อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาดเพราะไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการค้นคว้าและการเขียนรายงานเลย ขณะค้นคว้าให้คิดว่าตัวเองกำลังผจญภัยและเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่คุณยังไม่เข้าใจ รวมถึงพร้อมที่จะสำรวจวิธีการมองปัญหาเก่าๆ ด้วยวิธีการใหม่ เวลาค้นคว้า ให้ใช้ทั้งแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (ข้อความต้นฉบับ เอกสาร คดีทางกฎหมาย บทสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น) และแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (การตีความและคำอธิบายแหล่งข้อมูลปฐมภูมิของคนอื่น) นอกจากนี้ยังมีที่ที่นักศึกษาที่สนใจหัวข้อเดียวกันสามารถมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ หรือคุณจะตั้งกระทู้ในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับหัวข้อที่คุณสนใจก็ได้ แต่การพูดคุยเป็นแค่การแลกเปลี่ยนข้อมูลและทำให้หัวข้อของคุณเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แต่ไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่คุณจะนำคำพูดมาอ้างอิงได้ ถ้าคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ให้เข้าไปอ่านบทความดังต่อไปนี้:
  3. How.com.vn ไท: Step 3 ขัดเกลาใจความหลัก.
    หลังจากค้นคว้ามาแล้ว ให้กลับไปทบทวนหัวข้อที่เลือกไว้ ถึงจุดนี้คุณจะต้องเจาะจงประเด็นที่ชัดเจนและหนักแน่นเพียงหนึ่งประเด็น เป็นประเด็นที่คุณมั่นใจว่าจะอภิปรายได้อย่างหนักแน่นตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านรู้แน่ชัดว่าเขากำลังจะได้เรียนรู้อะไรจากงานเขียนของคุณ และผู้อ่านก็ควรจะได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลในประเด็นนี้ด้วย ใจความหลักคือแกนหลักของเรียงความ และย่อหน้าอื่นๆ ก็จะต้องสนับสนุนใจความหลักนี้ ถ้าคุณเขียนด้วยความเชื่อแค่ครึ่งๆ กลางๆ รายงานของคุณก็จะออกมาน่าเบื่อ สร้างใจความหลักน่าสนใจ โดยใจความหลักที่คุณสร้างขึ้นมาก็ควรเป็นสิ่งที่คุณสนใจในระหว่างการค้นคว้า เพราะจะทำให้คุณไม่เบื่อตอนหาข้อมูลมาสนับสนุน พอคุณพอใจแล้วว่าหัวข้อของคุณสมเหตุสมผลและชัดเจนแล้ว ก็ให้เริ่มเขียนร่างฉบับแรกได้เลย[4]
    • จำไว้ว่าการค้นคว้าไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ และคุณก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับใจความหลักของรายงานในตอนแรกด้วย เหลือพื้นที่สำหรับความยืดหยุ่นขณะค้นคว้าและเขียนรายงานด้วย เพราะคุณอาจจะอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่สอดคล้องกับแนวความคิดที่อยู่ในหัวของคุณและการค้นพบที่คุณยังต้องสำรวจเพิ่มเติม แต่ในขณะเดียวกันก็ระวังอย่าเป็นนักสำรวจที่ไม่ยอมลงหลักปักฐานกับแนวความคิดอะไรเลยเพราะกลัวว่าจะเป็นการจำกัดตัวเอง เพราะถึงจุดหนึ่งคุณก็ต้องบอกตัวเองว่า "ฉันเสนอประเด็นแค่นี้พอแล้ว!" ถ้าคุณสนใจหัวข้อนั้นมากจริงๆ คุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะกลับมาเรียนต่อหลังจากจบปริญญาตรี แต่รายงานประจำภาคเรียนน่ะเขาจำกัดจำนวนคำและมีกำหนดส่งนะ!
  4. How.com.vn ไท: Step 4 เขียนโครงร่างรายงาน....
    เขียนโครงร่างรายงาน. บางคนสามารถเขียนรายงานประจำภาคเรียนได้โดยไม่ต้องเขียนโครงร่างก่อน แต่คนพวกนี้หายากและมักจะเป็นพวกที่ทำงานได้ก็ต่อเมื่อไฟล้นก้น แต่การเขียนโครงร่างออกมาคร่าวๆ ก่อนนั้นดีกว่า เพราะคุณจะได้รู้ว่าคุณจะมุ่งหน้าไปไหน เหมือนแผนที่ถนนที่ช่วยให้คุณรู้ว่าคุณจะไปไหนจากจุด A ไป B โครงร่างเองก็เหมือนกับตัวรายงานทั้งฉบับตรงที่ไม่ตายตัวและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่โครงร่างจะทำให้คุณรู้โครงสร้างและขอบข่ายที่คุณสามารถย้อนกลับมาดูได้เวลาที่คุณหลงประเด็นกลางคันระหว่างเขียน และยังทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของรายงานด้วย ที่เหลือก็เป็นแค่การใส่รายละเอียด การเขียนโครงร่างมีด้วยกันหลายวิธีและคุณก็อาจจะมีวิธีของตัวเองที่คุณถนัดอยู่แล้ว แต่โดยหลักการทั่วไป องค์ประกอบพื้นฐานของโครงร่างควรจะมี:[5]
    • บทนำ ย่อหน้า/ส่วนของการอภิปราย และข้อสรุปหรือใจความสรุป
    • ย่อหน้าบรรยายหรืออธิบายต่อจากบทนำ โดยกำหนดที่มาที่ไปหรือสาระสำคัญ
    • ย่อหน้า/ส่วนที่เป็นบทวิเคราะห์และข้อโต้แย้ง เขียนแนวคิดหลักของเนื้อหาในแต่ละย่อหน้าโดยใช้ข้อมูลที่ค้นคว้ามา
    • คำถามหรือประเด็นสำคัญที่คุณยังไม่มั่นใจ
    • อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่วิธีการเขียนโครงร่าง
  5. How.com.vn ไท: Step 5 ใส่ประเด็นลงไปในบทนำ.
    ย่อหน้าแรกเขียนยากแต่ก็อย่าให้มันกลายเป็นอุปสรรคในการเขียนรายงาน ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ต้องกลับมาเขียนใหม่บ่อยที่สุดขณะที่คุณคว้าข้อมูลและเจอการเปลี่ยนแปลงของทิศทาง ขั้นตอน และผลลัพธ์ ดังนั้นให้มองว่าบทนำก็เป็นแค่การเริ่มลงมือเขียน และบอกตัวเองว่าคุณกลับมาแก้ไขได้เสมอ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถเขียนไปมั่วๆ ก่อนแล้วค่อยกลับมาแก้ไขในจุดที่ต้องแก้ได้[6] นอกจากนี้ให้ใช้บทนำเป็นโอกาสที่คุณจะได้ช่วยให้ตัวเองเริ่มเข้าใจองค์ประกอบทั่วไปของรายงานประจำภาคเรียนที่คุณเขียน โดยการอธิบายส่วนย่อยต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อ่านจะต้องรู้ก่อนตั้งแต่เริ่มอ่าน ลองใช้หลักการ HIT ในการเขียนบทนำ:[7]
    • Hook (จุดดึงความสนใจ) ดึงความสนใจของผู้อ่านด้วยคำถามหรือคำพูดอ้างอิง หรืออาจจะโยงเกร็ดเรื่องราวที่น่าสงสัยที่สุดท้ายแล้วจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวในบริบทของข้อสันนิษฐาน
    • Introduce (แนะนำ) แนะนำหัวข้อ เขียนให้กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น
    • Thesis statement (ใจความสำคัญ) ขั้นตอนก่อนหน้าได้อธิบายเรื่องใจความสำคัญไว้แล้ว
      • อย่าลืมนิยามคำที่คุณอภิปรายด้วย! เช่นคำว่า "โลกาภิวัฒน์" นั้นมีหลายความหมาย และในบทนำคุณต้องกล่าวให้ชัดเจนว่าคุณจะใช้ความหมายไหน
  6. How.com.vn ไท: Step 6 ใช้ย่อหน้าเนื้อหาโน้มน้าวใจผู้อ่าน....
    ใช้ย่อหน้าเนื้อหาโน้มน้าวใจผู้อ่าน. ย่อหน้าเนื้อหาแต่ละย่อหน้าต้องสนับสนุนข้อโต้แย้งในด้านใหม่ๆ ไม่แน่ใจว่าเนื้อหาสนับสนุนข้อโต้แย้งหรือยังใช่ไหม ถ้างั้นลองแยกประโยคแรกของแต่ละย่อหน้าออกมา เมื่อรวมกันแล้วมันควรจะออกมาเหมือนกับรายการหลักฐานที่พิสูจน์ว่าสมมุติฐานของคุณเป็นจริง
    • พยายามเชื่อมโยงประเด็นที่แท้จริงของเรียงความ (สมมุติว่าเป็นเรื่องปรัชญาความรักของเพลโต) กับประเด็นที่เกี่ยวข้องกันแบบอ้อมๆ ที่คุณดันไปรู้มา (เช่น แนวโน้มของการร่วมเพศที่ผิดจากขนบในปาร์ตี้สมาคมนักศึกษาชาย) ค่อยๆ ดึงประเด็นนั้นเข้าสู่ประเด็นที่แท้จริงของเรียงความ และพูดคร่าวๆ ว่าทำไมแง่มุมนี้ของหนังสือ/ประเด็นนี้จึงน่าสนใจและควรค่าแก่การศึกษา (เช่น ความคาดหวังในเรื่องความใกล้ชิดทางกายในสมัยนั้นแตกต่างจากสมัยนี้อย่างไร)
  7. How.com.vn ไท: Step 7 สรุปอย่างชัดเจน.
    ลองใช้วิธีการ ROCC:[8]
    • Restate (กล่าวซ้ำ) กล่าวใจความสำคัญของคุณซ้ำ
    • One (หนึ่ง) กล่าวรายละเอียดที่สำคัญที่มักจะอยู่ในย่อหน้าสุดท้ายมา 1 ข้อ
    • Conclude (สรุป) ขมวดปมทั้งหมด
    • Clincher (ข้อคิดเห็นที่ยุติการอภิปราย) ซึ่งเป็นจุดที่คุณจะให้ผู้อ่านกลับไปคิดต่อทีหลัง
  8. How.com.vn ไท: Step 8 อ้างอิงแหล่งที่มา.
    ใช้แหล่งข้อมูลอื่นๆ เหรอ ดูว่าอาจารย์สั่งให้เขียนบรรณานุกรมแบบไหน อาจจะเป็น MLA หรือ APA (หรือการเขียนอ้างอิงตามหลักภาษาไทย) หลักการเขียนอ้างอิงแต่ละประเภทมีรูปแบบการเขียนที่ตายตัว เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่แน่ ให้กลับไปดูคู่มือ (ถ้าเป็นการเขียนอ้างอิงภาษาอังกฤษ สามารถดูคู่มือการเขียนออนไลน์ได้ที่ owl.English.Purdue.EU) การใส่คำพูดอ้างอิงตลอดทั้งรายงานเป็นวิธีที่ช่วยขยายความประเด็นของคุณให้กระจ่างขึ้น แต่ก็ระวังอย่าใส่คำพูดอ้างอิงในรายงานมากเกินไปจนกลายเป็นว่ามันอธิบายประเด็นนั้นแทนคุณ เพราะถ้าอย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่าคนที่สร้างประเด็นนี้ขึ้นมาคือนักเขียนคนอื่นๆ และเขาก็เป็นคนเขียนรายงานแทนคุณ
    • อย่าตัดแปะข้อโต้แย้งของคนอื่น คุณสามารถนำความคิดของนักคิดดังๆ ในสาขานั้นมาสนับสนุนการคิดของคุณได้ตามสบาย แต่อย่าพูดแค่ว่า "A กล่าวว่า... B กล่าวว่า..." เพราะสุดท้ายแล้วคนอ่านเขาอยากรู้ว่า คุณ กล่าวว่าอะไร
    • คุณควรเขียนบรรณานุกรมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปปั่นเอาในนาทีสุดท้าย: วิธีการ เขียนบรรณานุกรม
  9. How.com.vn ไท: Step 9 เผาผลาญไขมัน เร่งสร้างกล้ามเนื้อ.
    จำนวนหน้ารายงานที่ต้องส่งอาจารย์มักจะมีพื้นที่น้อยมาก เพราะฉะนั้นการลดทอนคำจึงเป็นวิธีที่ช่วยได้ โครงสร้างประโยคที่คุณใช้ดีพอแล้วหรือยัง ไล่ดูที่ละประโยคและดูว่าคุณใช้คำน้อยที่สุดแต่ยังคงรักษาความหมายของสิ่งที่ต้องการจะสื่อไว้ได้หรือเปล่า
    • เปลี่ยนจากการใช้คำฟุ่มเฟือยมาเป็นประโยคที่กระชับขึ้น เช่น "ข้าพเจ้าได้ดำเนินการเขียนรายงาน" ก็ให้เปลี่ยนเป็น "ข้าพเจ้าเขียนรายงาน"
  10. How.com.vn ไท: Step 10 อย่าทำงานแบบขอไปที.
    การตรวจการสะกดคำเป็นเพียงขั้นแรกของการตรวจทานรายงานเท่านั้น! ถ้าเป็นรายงานภาษาอังกฤษคุณก็สามารถใช้ spell-check ได้ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถตรวจจับการสะกดคำผิดจาก "how" เป็น "show" ได้ และไม่สามารถตรวจการพิมพ์คำซ้ำ ("the the") หรือความผิดพลาดด้านไวยากรณ์ได้ (ยกเว้นว่าคุณจะใช้ MS Word ที่สามารถตรวจความถูกต้องของไวยากรณ์ได้ประมาณหนึ่ง และสามารถตรวจจับการพิมพ์คำซ้ำได้) แต่ถ้าเป็นรายงานภาษาไทยจะยิ่งยากกว่าเดิมเพราะเราพึ่งพา spell-check ไม่ค่อยได้ และอาจารย์ก็ไม่น่าจะพอใจความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากความไม่ใส่ใจแบบนี้เท่าไหร่ เพราะถ้าขนาดตรวจทานรายงานคุณยังสะเพร่า ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ตั้งใจเขียนรายงานฉบับนี้เลยด้วยซ้ำ การแก้ปัญหาให้ตรงจุดคือขอให้เพื่อนอ่านรายงานและทำเครื่องหมายตรงจุดที่ต้องแก้ไขไว้ให้
    • รายงานของคุณควรถูกต้องตามหลักภาษา คุณควรโน้มน้าวให้อาจารย์ยอมรับข้อโต้แย้งของคุณ ไม่ใช่เสียเวลาไปกับการแก้หลักภาษา ถ้างานเขียนของคุณผิดหลักภาษามากเกินไป สิ่งที่คุณต้องการจะสื่อก็จะกลืนหายไปกับความรำคาญที่เกิดจากการอ่านงานสะดุด
  11. How.com.vn ไท: Step 11 คิดชื่อเรื่องดีๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน แต่ก็อย่าให้สั้นหรือยาวเกินไป!...
    คิดชื่อเรื่องดีๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน แต่ก็อย่าให้สั้นหรือยาวเกินไป! สำหรับนักเขียนเรียงความมือฉมัง ชื่อเรื่องเจ๋งๆ ก็อาจจะแวบเข้ามาในหัวตั้งแต่ตอนเริ่มเขียน ในขณะที่บางคนกว่าจะนึกชื่อเรื่องได้ชัดเจนก็หลังจากที่เขียนเสร็จหมดแล้ว ถ้าคุณยังคิดไม่ออก ขอให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวมาช่วยคิด แล้วคุณจะประหลาดใจว่า คนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องที่คุณเขียนมาก่อนสามารถคิดชื่อเรื่องที่คมคายได้ภายในพริบตาเดียว!
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เผื่อเวลาการเขียนรายงานประจำภาคเรียนให้เพียงพอ แน่นอนว่ายิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ถ้าคุณเริ่มช้ากว่าที่ควร คุณก็จะไม่มีเวลาเขียนมากนัก ระยะเวลาขั้นต่ำที่ควรเผื่อไว้ในการเขียนงานคือ:
    • อย่างน้อย 2 ชั่วโมงสำหรับรายงาน 3-5 หน้า
    • อย่างน้อย 4 ชั่วโมงสำหรับรายงาน 8-10 หน้า
    • อย่างน้อย 6 ชั่วโมงสำหรับรายงาน 12-15 หน้า
    • เพิ่มเวลาเป็นสองเท่าถ้าคุณยังไม่ได้ทำการบ้านมาเลยและยังไม่ได้เข้าเรียน
    • สำหรับรายงานที่อาศัยการวิจัยเป็นหลัก ให้เพิ่มไปอีก 2 ชั่วโมง (แต่คุณต้องรู้วิธีการทำวิจัยอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่นอกเหนือไปจากแนวทางสั้นๆ ในบทความนี้)
  • เรียงความที่ดีที่สุดก็เหมือนกับการเล่นเทนนิสในสนามหญ้า ข้อโต้แย้งควรจะลื่นไหนในแบบที่มี "การตีโต้" ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นเหตุเป็นผลไปจนถึงบทสรุป
  • ถ้าคุณติดปัญหา ให้ไปพบอาจารย์ ไม่ว่าคุณจะยังตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาไม่ได้หรืออยากจะให้อาจารย์ช่วยดูบทสรุปให้ อาจารย์ส่วนใหญ่เต็มใจที่จะช่วยอยู่แล้ว และพอถึงเวลาให้คะแนนอาจารย์ก็จะจำได้ว่าคุณเคยเข้ามาพบ
โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าคุณใช้แหล่งข้อมูลจากที่อื่นและไม่ใส่ไว้ในแหล่งข้อมูลอ้างอิง ก็เท่ากับว่าคุณทุจริต (ขโมยคัดลอกผลงาน) คุณจะสอบตกและอาจถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยได้ อย่าทุจริต เพราะมันไม่คุ้มกันเลยเมื่อคิดว่าคุณจะต้องเสียโอกาสในการศึกษาต่อ และมันก็แทบจะไม่มีประโยชน์ในการรักษาความรู้หรือพัฒนาความเข้าใจเชิงวิเคราะห์และความเข้าใจเชิงลึกที่คุณจะต้องนำไปปรับใช้ตลอดเส้นทางการทำงานของคุณเลย พยายามทำให้สำเร็จตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อที่จะได้ไปต่อยอดความรู้ที่เหลือได้ง่ายขึ้นในภายภาคหน้า
  • อย่าเอารายงานวิชาหนึ่งไปส่งอีกวิชาหนึ่ง คุณจะทำอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณได้รับอนุญาตและรู้แน่ชัดว่าทำได้ อย่าลืมว่าพวกอาจารย์เขาคุยกันอยู่แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
  • จำไว้ว่าการเขียนรายงานประจำภาคเรียนเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางวิชาการ เพราะฉะนั้นอย่าลืมใส่หน้าปกใน สารบัญ เนื้อหารายงาน และหน้าบรรณานุกรม
  • อย่าลืมตรวจร่างสุดท้ายเพื่อหาจุดผิดและสิ่งที่ยังไม่ได้ใส่ลงไป เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้คนให้คะแนนรำคาญจนถึงขึ้นหักคะแนนโดยรวมของคุณได้ถ้ามันมีจุดผิดมากเกินไป
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

วิกิฮาวเป็น "wiki" ซึ่งหมายความว่าบทความหลายๆ บทความของเรานั้นเป็นการร่วมมือกันเขียนของผู้เขียนหลายคน ในการเขียนบทความชิ้นนี้ ผู้คน 85 คน ซึ่งบางคนไม่ขอเปิดเผยตัว ได้ร่วมกันเขียนและปรับปรุงเนื้อหาของบทความอย่างต่อเนื่อง บทความนี้ถูกเข้าชม 2,387 ครั้ง
หมวดหมู่: พัฒนางานเขียน
มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,387 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

⚠️ Disclaimer:

Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.

Notices:
  • - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
  • - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
  • - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
  • - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.

โฆษณา