วิธีการ ช่วยเด็กหัดเดินจากอาการสำลักด้วยวิธี Heimlich Maneuver

ดาวน์โหลดบทความ

ดาวน์โหลดบทความ

ภายในบทความนี้:

ประเมินสถานการณ์

ช่วยเด็กด้วยวิธี Heimlich Maneuver

ช่วยเด็กที่สำลักจนหมดสติ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้ออ้างอิง

เป็นเรื่องปกติที่เด็กวัยหัดเดินจะซนชอบหยิบนู่นนี่เข้าปาก แต่ก็เพราะเหตุนี้แหละ ถึงได้เสี่ยงต่อการเกิดอาการสำลัก เด็กวัยนี้ถ้าสำลักเมื่อไหร่อาจอันตรายถึงขั้นหมดสติได้ เพราะฉะนั้นคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องหัดเรียนรู้วิธีเคลียร์หลอดลมเด็กแบบทันทีทันใด หรือก็คือการช่วยชีวิตแบบ Heimlich maneuver นั่นเอง แต่ถ้าคุณใช้วิธีนี้แล้วเด็กยังสำลัก เอาสิ่งแปลกปลอมออกมาไม่ได้ จนสุดท้ายเด็กถึงกับหมดสติ ขั้นตอนต่อไปก็คือคุณต้องทำ CPR

ขั้นตอน

ส่วน 1

ส่วน 1 ของ 3:

ประเมินสถานการณ์

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   เช็คดูว่าลูกยังพูดคุยได้ไหม. คนเวลาสำลักจะไม่สามารถพูดได้เพราะมีอะไรไปอุดหลอดลม ดังนั้นถ้าคุณลองถามอะไรแล้วลูกไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ แปลว่านั่นแหละมีอะไรติดคอลูกอยู่
2. 
   2
   ดูซิว่าเด็กหายใจติดขัดไหม. คุณอาจจะสังเกตเห็นว่าลูกหายใจเข้าลำบาก หรืออาจส่งเสียงแปลกๆ เวลาหายใจ เช่น หายใจหอบดังวี้ดๆ
3. 
   3
   เด็กอาจไอหอบ. เด็กอาจจะพยายามไอเพื่อขับเอาอะไรที่ติดคอออกมาแต่ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นก็จะกลายเป็นเสียงไอแบบหอบๆ แทน แต่ถ้าลูกไอดังๆ เหมือนเวลาป่วย แสดงว่ายังมีอากาศหายใจ ไม่ได้มีอะไรติดคอ
4. 
   4
   ดูว่าเด็กหน้าเขียวหรือยัง. ถ้าหายใจไม่ออกนานๆ เด็กอาจจะเริ่มตัวเขียวหน้าเขียว จุดที่สังเกตได้ง่ายที่สุด ก็คือตามปลายนิ้ว ริมฝีปาก หรือตามตัว

   • แต่บางทีก็ต้องระวังว่าเด็กเล็กสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ จนบางทีก็ตัวหรือหน้าไม่เขียวคล้ำบอกอาการทันทีทันใด
5. 
   5
   อย่าไปยุ่ง ถ้าเด็กยังพูดได้อยู่. ถ้าเด็กยังพูดหรือหายใจได้ตามปกติ ห้ามใช้วิธี Heimlich เด็ดขาด และในกรณีที่เด็กยังไอแรงๆ ออกมาได้ก็เหมือนกัน แต่คุณก็ต้องยังคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจะไม่อาการทรุดลงทันทีทันใด
6. 
   6
   เด็กยังมีสติหรือเปล่า. เด็กเล็กที่สำลักบางทีก็ถึงขั้นหมดสติได้ คุณต้องเช็คดูว่าเขายังมองมาที่คุณหรือเปล่าตอนคุณพูดกับเขา ให้ลองถามอะไรเขาดูก็ได้ เวลาคุณโทรเรียกรถพยาบาลหรือแจ้งตำรวจ เขาก็จะถามเรื่องนี้เช่นกัน แต่ถ้าเด็กหมดสติไม่ตอบสนอง ให้คุณข้ามไปอ่านขั้นตอนข้างล่างสำหรับช่วยเหลือเด็กที่สำลักจนหมดสติได้เลย

   • คุณจะลองดีดหรือเขี่ยๆ ดูที่ใต้เท้าของเด็กก็ได้ ว่าเด็กหมดสติไปแล้วหรือยัง
7. 
   7
   ขอให้คนช่วยโทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาล. ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย บอกให้เขาช่วยโทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาลทันที แต่ถ้าคุณอยู่กับเด็กตามลำพัง ให้รีบช่วยเด็กด้วยวิธี Heimlich maneuver ก่อนแล้วค่อยโทรแจ้ง
8. 
   8
   ต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน. ถ้าคุณไม่ใช่พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็ก ให้รีบขออนุญาตก่อนลงมือช่วยชีวิต แต่อย่าลืมว่าเวลาไม่คอยท่า ถึงพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กจะไม่อยู่ตรงนั้น คุณก็ควรจะรีบช่วยชีวิตเด็กไปก่อน ถึงสุดท้ายผลจะออกมาเป็นยังไง คนอื่นก็ต้องเข้าใจในความหวังดีของคุณแน่
   โฆษณา

ส่วน 2

ส่วน 2 ของ 3:

ช่วยเด็กด้วยวิธี Heimlich Maneuver

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   เอนตัวเด็กลง. เอามือประคองหลังเด็กไว้ แล้วเอนตัวเด็กจากเอวลงไป

   • จะใช้วิธีนี้ช่วยเด็กให้ได้ผลและปลอดภัย คุณต้องคุกเข่าลงที่พื้น
   • อย่าพยายามล้วงของที่ติดคอออกจากปากเด็กทั้งที่หมดสติ ให้ใช้วิธี Heimlich ทำให้เด็กขย้อนออกมาแทน
   • หรือคุณจะพลิกตัวเด็กนอนคว่ำบนตักคุณก็ได้ ถ้าถนัดกว่า
2. 
   2
   ทุบหลังเด็ก 5 ครั้ง. ใช้สันมือของคุณกระแทกลงไปที่กลางหลัง ระหว่างกระดูกสะบักของเด็ก ทำซ้ำ 5 ครั้งด้วยกัน

   • ถึงจะน่ากลัวแต่คุณต้องแข็งใจทุบลงไปให้แรงหน่อย อย่าให้แรงจนเด็กกระเด็นตกไปจากตัวคุณ แต่ก็ต้องทุบลงไปตรงๆ อย่างแข็งแรงและมั่นคง
   • ทั้งนี้ทั้งนั้น สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (The American Heart Association) ไม่ได้ระบุไว้ว่าต้องทุบหลังเวลาใช้วิธี Heimlich เพราะฉะนั้นคุณจะใช้วิธี Heimlich (กระแทกที่ท้อง) อย่างเดียวโดยไม่ทุบหลังก็ได้ผลเหมือนกัน
   • สังเกตดูให้ดีว่าอะไรที่ติดคอหลุดออกมาหรือยัง คุณอาจจะเห็นมันกระเด็นออกมา หรือเห็นเด็กเริ่มหายใจเป็นปกติอีกครั้งก็ได้
3. 
   3
   วางกำปั้นให้ถูกจุด. เอาแขนโอบรอบตัวเด็ก กำมือข้างหนึ่งจรดไว้เหนือสะดือเด็ก ให้อยู่ล่างกระดูกหน้าอกของเด็ก ส่วนมืออีกข้างให้กุมกำปั้นไว้
4. 
   4
   รั้งกำปั้นเข้าไป. รัดกำปั้นเข้าไปที่หน้าท้องของเด็ก ต้องกระแทกให้แรงเร็ว ทำซ้ำ 4 ครั้งหรือจนกว่าอะไรที่ติดคอเด็กอยู่จะหลุดออกมา
5. 
   5
   แจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาล. ถ้าคุณอยู่ตามลำพังกับเด็ก แล้วลองช่วยเด็กด้วยวิธี Heimlich แล้ว ให้รีบโทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาล ยังไงก็ต้องให้ความช่วยเหลือมาถึงเร็วที่สุด ถ้าคุณวานให้คนอื่นช่วยโทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาลให้ ก็ต้องเช็คดูให้แน่ใจว่าเขาเรียกให้แล้วจริงๆ
6. 
   6
   ติดตามผล. ถ้าทำตามขั้นตอนแล้วไม่ได้ผล ให้สลับกันทำระหว่างวิธีทุบหลังกับวิธีกระแทกท้อง ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าอะไรที่ติดคอเด็กจะหลุดออกมา จนกว่าเด็กจะกลับมาหายใจได้ หรือจนกว่าเด็กจะหมดสติ
   โฆษณา

ส่วน 3

ส่วน 3 ของ 3:

ช่วยเด็กที่สำลักจนหมดสติ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   วางเด็กนอนลงบนพื้นราบ. ถ้าเด็กหมดสติไปแล้ว ให้รีบวางตัวเด็กนอนหงายไปกับพื้น และต้องเป็นพื้นราบแข็งแรงมั่นคงด้วย วางเด็กลงไปให้เบามือที่สุด
2. 
   2
   ควานหาวัตถุแปลกปลอม. ให้คุณควานหาสิ่งแปลกปลอมในปากเด็ก โดยเอียงหัวเด็กเล็กน้อยแล้วอ้าปาก จากนั้นเอานิ้วควานหา หยิบสิ่งแปลกปลอมออกมาถ้าพอมองเห็น ข้อควรระวังคือต้องเป็นอะไรที่พอหยิบได้เท่านั้น ถ้าติดแน่นจุกหลอดลมเด็กอยู่ละก็ ห้ามไปยุ่งเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวจะไหลลึกลงไปกว่าเดิม
3. 
   3
   ลองผายปอด 2 ครั้ง. แหงนหน้าเด็กไปข้างหลังให้คางยกขึ้นจะได้เปิดหลอดลม บีบจมูกเด็กไว้ไม่ให้อากาศออก จากนั้นเอาปากประกบปากเด็กแล้วเป่าลมเข้าไป 2 ครั้ง แต่ละครั้งให้เป่าประมาณ 1 วินาที แล้วคอยสังเกตว่าหน้าอกเด็กขยายขึ้นมาไหม ถ้าไม่ ก็ให้เปลี่ยนไปกดหน้าอกแทน

   • ถ้าเอามือบีบจมูกเด็กไปพลาง เป่าปากไปพลางไม่สะดวก จะใช้ปากคุณประกบครอบทั้งปากและจมูกของเด็กไปเลยก็ได้
4. 
   4
   กดหน้าอกเด็ก. หาจุดที่ถูกต้องโดยคลำหาว่าซี่โครงซี่สุดท้ายของทั้ง 2 ข้างมาบรรจบกันตรงไหน ให้ขยับขึ้นมาจากจุดนั้นประมาณ 1 นิ้วตรงกลางหน้าอกเด็ก เอามือวางซ้อนกัน กดฝ่ามือราบไปกับหน้าอก ให้สันมืออยู่ตรงกลางอกเด็กพอดิบพอดี กดลงไปประมาณ 1/3 หรือก็คือประมาณ 2 นิ้ว กดให้เป็นจังหวะถี่ๆ ให้ได้ประมาณ 100 ครั้งต่อนาที กดแล้วนับไปด้วยให้ครบ 30 ครั้ง
5. 
   5
   ควานหาอะไรที่ติดคอเด็กอีกครั้ง. พอกดหน้าอกเด็กแล้วอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาในที่สุด ลองอ้าปากเด็กสังเกตดู เอานิ้วควานหาในปาก และสังเกตด้วยว่าเด็กหายใจอยู่หรือเปล่า ถ้าหายใจหน้าอกก็จะขยับขึ้นลง
6. 
   6
   ต่อด้วย CPR. สลับกันทำไปเรื่อยๆ ระหว่างการผายปอด 2 ครั้งกับกดหน้าอก 30 ครั้ง อย่าลืมหยุดเพื่อมองหาสิ่งแปลกปลอมในปากเด็กด้วย แหงนหน้าให้คางเด็กเงยสูงเข้าไว้เวลาผายปอด ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าเด็กจะดีขึ้นหรือจนกว่าตำรวจหรือรถพยาบาลจะมาถึง
7. 
   7
   รีบนำตัวเด็กส่งโรงพยาบาลทันที. ถึงคุณจะช่วยจนเด็กดีขึ้นแล้วก็เถอะ ก็ยังต้องให้คุณหมอตรวจดูอาการอยู่ดี จะได้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายในระยะยาว
   โฆษณา

เคล็ดลับ

• หาเวลาเข้าร่วมการฝึกอบรม CPR หรือคอร์สปฐมพยาบาล จะได้แม่นเรื่องเทคนิคและเรียนรู้วิธีช่วยชีวิตเพิ่มเติม

โฆษณา