วิธีการ ปล่อยให้ใครสักคนจากไป

ดาวน์โหลดบทความ

ดาวน์โหลดบทความ

ภายในบทความนี้:

ปล่อยให้คนรักเก่าจากไป

ปล่อยให้รักข้างเดียวจากเราไป

ปล่อยคนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ปล่อยมิตรภาพที่เป็นพิษออกไปจากชีวิต

แสดงเพิ่มอีก 1...

แสดงน้อยลง...

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้ออ้างอิง

พอตื่นเช้ามา คุณก็กลายเป็นคนใหม่ สิ่งที่ทำให้คุณเป็นคุณในเมื่อวานอาจไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คุณเป็นคุณในวันนี้ ถึงจะทำใจให้เชื่อได้ยาก แต่การปล่อยให้ใครสักคนจากไปนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณในปัจจุบัน ไม่ว่าคนที่คุณรักจะจากโลกนี้ไปแล้ว หรือคุณเพิ่งจะเลิกรากับคนรัก คุณอาจจะต้องตัดใจจากคนที่คุณแอบชอบสักที หรือรู้สึกว่าตัวเองกับเพื่อนไม่มีอะไรเหมือนกันอีกต่อไปแล้ว การปล่อยวางคือขั้นตอนถัดไปที่จะทำให้คุณมีความสุข และนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มาเริ่มปล่อยให้เขาจากเราไปกันดีกว่า

ขั้นตอน

วิธีการ 1

วิธีการ 1 ของ 4:

ปล่อยให้คนรักเก่าจากไป

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึก. ก่อนอื่น ความเศร้าโศกเป็นสิ่งที่ดี อารมณ์เป็นสิ่งที่ดี การร้องไห้เป็นสิ่งที่ดี ความโกรธเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แบบไหน มันก็ล้วนแต่เป็นเรื่องปกติและจำเป็นต้องได้รับการปลดปล่อย ระยะหมกตัวเองใต้ผ้าห่มต้องผ่านไปก่อน แล้วกระบวนการปล่อยวางจึงเกิดขึ้น แต่การจะปล่อยใครสักคนไปนั้นมันมีขั้นตอนที่แน่นอนของมัน ระยะหมกตัวเองใต้ผ้าห่ม (เรียกอีกอย่างว่าระยะร้องไห้ต่อหน้ากล่องไอศกรีม หรือระยะย้อมผมสีประหลาดจนหัวหน้าแทบไล่ออก) ต้องเกิดขึ้นก่อน ปล่อยไปตามธรรมชาติ

   • สิ่งแรกที่คุณอาจจะรู้สึกก็คือ คุณยอมรับความจริงไม่ได้ จากนั้นคุณก็จะโกรธ คุณจะไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ พอคุณรู้สึกตัว สิ่งที่เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกันและบทสนทนาต่างๆ มันจะแวบขึ้นมาสร้างความคับข้องใจและความเจ็บปวดให้คุณ การทรมานตัวเองนั้นไม่ใช่เพื่อการเลิกรา แต่เป็นการรับมือกับการเลิกราต่างหาก คุณต้องเข้าใจว่าระยะนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น อารมณ์ที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คือส่วนหนึ่งของคุณ คุณไม่ได้บ้าและคุณก็ไม่ได้ไม่มีค่า แต่มันเป็นเพราะคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
2. 
   2
   อย่าโหยหาอดีต. คุณอาจจะพบว่าตัวเองกำลังย้อนอดีตกลับไปอยู่ในช่วงที่คุณเคยมีเวลาดีๆ ร่วมกัน คุณอาจจะนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับเหม่อมองภาพเหล่านั้นเหมือนแผ่นซีดีที่หัก แต่ถ้าคุณได้คนรักกลับมา สิ่งที่คุณจะคิดในอีก 10 นาทีก็คือ "ใช่เลย นี่ คือเหตุผลว่าทำไมถึงคบกันต่อไม่ได้" ตอนที่คุณกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ที่บีบคั้น มันยากที่จะนึกออกว่าตอนคบกันคุณเจอเรื่องแย่ๆ อะไรมาบ้าง คุณต้องรู้ตัวว่าขณะที่คุณกำลังเวิ่นเว้อถึงอดีตที่รุ่งโรจน์อยู่นั้น คุณไม่ได้มองมันตามความเป็นจริง

   • ถ้าคุณต้องการหลักวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนสิ่งที่กล่าวมาในข้างต้นละก็ ต้องบอกไว้เลยว่ามีการพิสูจน์แล้วว่า อารมณ์มีผลต่อความทรงจำ เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณกำลังมองหาสิ่งดีๆ อย่างบ้าคลั่ง ใจของคุณก็อาจจะ สร้างฉากความทรงจำขึ้นมาใหม่ เพื่อตอบสนองความคาดหวังในปัจจุบันของคุณ พูดง่ายๆ ก็คือ ความทรงจำของคุณตอนนี้กำลังถูกมองผ่านเลนส์แว่นสีชมพูกุหลาบเพื่อให้ตรงกับกระบวนการคิดในปัจจุบันของคุณนั่นเอง
3. 
   3
   เอาตัวเองออกมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้. จริงๆ แล้ว "การปล่อยวาง" เป็นคำหวานหูของการลืมและการช่างหัวมัน คำพูดนี้ดูรุนแรงเกินไปสักหน่อย เขาก็เลยประดิษฐ์คำที่ฟังแล้วรื่นหูกว่ากันขึ้นมา ว่ากันว่า การเอาตัวเองออกมาให้ห่างจากคนๆ นั้นเป็นทางเดียวที่คุณจะได้ขึ้นทางด่วนไปสู่การลืม เหมือนเวลาที่คุณไปเจอเสื้อที่หมกอยู่หลังตู้แล้วพูดกับตัวเองว่า "ตายละ นี่มันเสื้อตัวโปรดของฉันนี่! นี่ฉันไม่รู้ได้ยังไงเนี่ยว่ามันหายไป" นั่นแหละ หลักการเดียวกัน ถ้าไม่เห็นเดี๋ยวก็ลืมไปเอง

   • แน่ละว่าสำหรับหลายคนพูดน่ะมันง่ายกว่าทำมากๆๆ แต่คุณ สามารถ พยายามจำกัดเวลาที่คุณจะต้องอยู่ใกล้คนๆ นี้ได้ ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างที่จะด่ำดิ่งไปสู่ความปรารถนาใหม่ๆ ได้ไปเจอที่เที่ยวเล่นเจ๋งๆ หรือไปเจอคนกลุ่มใหม่ๆ ที่คุณจะใช้เวลาด้วยบ้างเป็นครั้งคราว อย่าเปลี่ยนชีวิตตัวเองเพื่อให้คนๆ นี้ได้มีพื้นที่อยู่ในชีวิตของคุณ จำไว้ว่าคุณต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวคุณเอง
4. 
   4
   อย่าเอาตัวเองไว้ทีหลัง. หลังจากที่คุณโกรธและเศร้า สาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าคุณจะไม่โง่งมแบบนี้อีกแล้ว คุณก็อาจจะใช้เวลาสัก 2-3 วัน/เดือน/ระยะเวลาที่นานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์มานั่งคร่ำครวญว่ามันผิดพลาดตรงไหน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเร่ร่อนผ่านม่านหมอกไป คุณอาจจะอยากอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้ คุณต้องไม่ทำแบบนั้นเพื่อตัวคุณเอง เพื่อให้โลกของคุณน่าอยู่กว่าเดิม คุณต้องก้าวเดินต่อไป

   • จุดนี้คือจุดที่คุณจะทำในสิ่งที่คุณต้องทำ ตอนนี้ตัว "คุณ" ต้องมาก่อน อะไรที่คุณทำแล้วมีความสุข ทำเลย (แน่นอนว่ามันต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน) ออกไปเมาหัวราน้ำ ถ้าคุณคุยกับเพื่อนเรื่องที่มีคนขโมยแซนด์วิชแฮมของเธอที่ทำงานไม่รู้เรื่อง ก็ช่างมัน คุณมีเวลาเห็นแก่ตัวบ้างแล้ว สิ่งที่คุณต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจคือ "ตัวฉัน ตัวฉัน ตัวฉัน" ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะคุณเจ๋งยังไงล่ะ
5. 
   5
   อย่าสิ้นหวังในมนุษยชาติ. ในไม่ช้าคุณก็จะผ่านจุดนี้ไปได้ (จุดที่ระยะ "ตัวฉัน ตัวฉัน ตัวฉัน" ควรถูกแทนที่ด้วย "ฉัน เธอ ฉัน เธอ") และสิ่งสุดท้ายที่คุณอยากจะทำก็คือการไม่พอใจคนทั้งโลก การเป็นคนเหนื่อยหน่ายและเย้ยหยันสิ่งต่างๆ นั้นไม่ได้เกิดจาก "การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์" แต่จริงๆ แล้วมันเหมือนเป็นการยอมแพ้มากกว่า พยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวผู้อื่น มันมีอยู่แหละ แต่บางครั้งมันแค่ซ่อนอยู่เท่านั้นเอง

   • ผู้ชายไม่ได้เป็นพวกกักขฬะทุกคนและก็ไม่ใช้ผู้หญิงทุกคนที่ปลิ้นปล้อน บางทีคุณอาจจะชอบพวกกักขฬะที่ปลิ้นปล้อนลอยหน้าลอยตาทำความผิดได้หน้าด้านๆ แต่มันก็เป็นปัญหาที่ความชอบของคุณเอง พยายามมองคนประเภทต่างๆ อย่างละเอียด คุณแบ่งคนได้ออกเป็นกี่ประเภท อาจจะเป็นร้อยๆ พันๆ ประเภทเลยด้วยซ้ำ นี่แหละที่เขาเรียกกันว่าความหลากหลาย
6. 
   6
   เอาความคิดลบออกไปไกลๆ. ด้านที่สวยงามของจิตใจก็คือ มันเป็นส่วนหนึ่งของคุณและคุณก็ควบคุมมันได้ ถ้าความคิดลบเริ่มโผล่เข้ามาในหัว คุณก็มีอำนาจที่จะหยุดมัน ไม่ว่ากระแสความคิดจะพัดพาคุณไปทางไหน คุณก็มีพลังมากพอที่จะว่ายทวนออกมา บางครั้งมันอาจจะต้องใช้เทคนิคกันบ้าง แต่มันทำได้แน่นอน

   • พูดความคิดลบเป็นเสียงตัวการ์ตูน เสียงโดนัลด์ ดั๊กก็น่าลอง ลองพูดว่า "ฉันเกลียดที่ตัวเองโง่เง่าจังเลย" เป็นเสียงโดนัลด์ ดั๊ก ฟังแล้วมันยากที่จริงจังกับคำพูดนี้ใช่ไหม
   • ตั้งใจเชิดหน้าขึ้น การเชิดหน้าเป็นการบอกร่างกายของคุณว่าคุณมีตัวตนและภาคภูมิใจในตัวเอง ในขณะที่การก้มหัวลงนั้นสะท้อนถึงศูนย์กลางความคิดละอายใจที่สามารถทำให้คุณรู้สึกแย่กว่าเดิมได้จริงๆ แค่การเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวก็สามารถกำหนดความคิดคุณได้แล้ว
7. 
   7
   เข้าหาเพื่อนฝูง. ที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือกลุ่มคนที่สนับสนุนคุณ พวกเขาจะทำให้คุณลืมเรื่องที่ทำให้คุณทุกข์และทำให้คุณดำเนินชีวิตต่อไปได้ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เพราะทุกคนอาจจะคอยช่วยเหลือคุณอยู่ก็ได้!

   • ขอให้พวกเขาช่วยคุณไม่ให้จมปลักอยู่กับความทุกข์ แน่นอนว่าคุณจำเป็นต้องพูดความรู้สึกออกมา แต่ก็ต้องจำกัดเวลาในการพูด ถามพวกเขาว่ามีเวลาสัก 15 นาทีที่จะฟังคุณพูดไหม หลังจากนี้ปุ๊บคุณก็จะไม่วิเคราะห์อะไรบ้าบอหรือเสียดายอะไรอีก แล้วพวกเขาจะช่วยไม่ให้คุณจมปลักอยู่กับความทุกข์ได้
8. 
   8
   หาให้เจอว่าคุณเคยเป็นใครและรักตัวตนของคุณ. เรื่องของเรื่องก็คือคุณอาจจะเป็นคนที่เจ๋งสุดๆ และนี่ก็เป็นแค่ความพ่ายแพ้เล็กๆ น้อยๆ เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนและคุณก็ก้าวข้ามผ่านมันมาได้ แล้วทำไมครั้งนี้คุณจะทำไม่ได้ล่ะ ถ้าคุณเคยกลับมาเข้มแข็งได้ ครั้งต่อไปคุณก็ต้องทำได้เช่นเดียวกัน คุณเป็นคนเข้มแข็ง คุณแค่ลืมไปว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง ดำเนินชีวิตต่อไป แล้วการปล่อยวางจะเกิดขึ้นเอง

   • เมื่อไหร่ที่คุณหยุดใช้ชีวิต คุณจะปล่อยวางไม่ได้ ถ้าคุณใช้ชีวิต (วิ่งหาโอกาส สนุกกับชีวิต อยู่กับคนและสิ่งที่คุณรัก) การปล่อยวางจะเกิดขึ้นเองจนคุณแทบไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ กลับไปทบทวนว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นคุณเคยเป็นคนยังไง อะไรคือสิ่งที่คุณรัก อะไรที่ทำให้คุณเป็นคุณ และคุณเจ๋งแค่ไหน
   โฆษณา

วิธีการ 2

วิธีการ 2 ของ 4:

ปล่อยให้รักข้างเดียวจากเราไป

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ประเมินมาตรฐานของตัวเอง. เห็นได้ชัดว่าคนๆ นี้ไม่เคยเห็นคุณค่าของคุณไม่ว่าคุณจะหน้าตาเลิศเลอเพอร์เฟ็คขนาดไหนมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่มีค่าพอให้คุณมาเสียเวลาด้วยหรอก ไม่ต้องมาถามนะว่า "คนนั้นเขามีค่าพอให้ฉันรอไหม" หรือ " เขาอาจจะไม่มีค่าพอให้ฉันมาเสียเวลาด้วยหรอกมั้ง" ไม่มีแต่ อาจจะ มั้งอะไรทั้งนั้น เขาไม่มีค่าพอที่คุณจะมาเสียเวลาด้วยเลย 100% คุณคู่ควรกับคนที่เขาเห็นตัวตนของคุณ เห็นคุณค่าของคุณ และอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของคุณ คนที่ไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวคุณไม่สามารถมาเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคุณได้หรอก

   • ใช้เวลาทบทวนความเข้าใจของตัวเองอย่างจริงจังสักพัก มองตัวเองตามความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถามตัวเองว่า การที่คุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันปลอดภัยก็เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ใช่หรือเปล่า ความจริงที่ว่าคุณจะไม่มีวันเจ็บปวดแน่นอนเพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดทำให้คุณมั่นใจว่ามันปลอดภัยใช่ไหม ถ้าสิ่งที่พูดมามีส่วนจริงอยู่บ้าง ก็หมายความว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ ตัวคุณ และอีกฝ่ายก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เพราะเขาเป็นแค่สัญลักษณ์ที่คุณตั้งความหมายให้ก็เท่านั้น
2. 
   2
   ประเมินความสุขของตัวเอง. ไม่ว่าคุณจะเป็นแค่คู่นอนหรือคุณแค่รักเขาข้างเดียวหัวปักหัวปำ ถามตัวเองว่าถ้าได้คบกับคนๆ นี้ คุณจะมีความสุขอย่างที่สุขอยู่ไหม น่าแปลกที่คุณอาจจะไม่มีความสุขขนาดนั้นแต่คุณก็ยังเฝ้ารอที่จะมีความสัมพันธ์แบบที่คุณจินตนาการไว้ในหัว ความจริงมีอยู่แค่ไหน แล้วความจริงที่ว่านี้มันมีความปรารถนา ความหวัง และความเป็นไปได้ในอนาคตมากแค่ไหน

   • เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่รู้สึกอยากปล่อยเขาไปหรอก รู้ตัวไว้เลย ปล่อยให้มันจมหายไป ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ แต่ความสัมพันธ์แบบอื่นในอนาคตจะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่คุณต้องการได้ แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ในการที่จะหาความสัมพันธ์ที่ทำให้คุณพึงพอใจได้นั้น อย่างแรกคือคุณต้องทิ้งความสัมพันธ์นี้ไปก่อน ก็เพราะอย่างนี้คุณถึงมาอ่านบทความนี้ยังไงละ! นี่ขั้นตอนแรกเหรอ ติ๊กถูกเลยแล้วกัน
3. 
   3
   อย่าเฝ้ารอ. ชีวิตสั้นเกินกว่าที่คุณจะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยโดยไม่ใช่ชีวิตเสียตั้งแต่ ตอนนี้ อีกคนหนึ่งเขาก็ออกไปมีชีวิตของเขา แล้วทำไมคุณถึงจะเอาอย่างเขาแล้วออกไปใช้ชีวิตเหมือนกันไม่ได้ล่ะ ยุติธรรมดีออก นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องรีบแจ้นไปคบคนใหม่ แต่หมายความว่าคุณควรออกไปพบปะผู้คนและพยายามสนุกกับชีวิตอย่างสุดความสามารถต่างหาก

   • อย่ารอคอยด้วยความหวังว่าอะไรๆ จะเปลี่ยน เพราะคุณจะได้รอนานเป็นชาติแน่ๆ ถ้าจะให้พูดรวมๆ ก็คือ วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำนายพฤติกรรมในอนาคตได้นั้นต้องดูจากพฤติกรรมในอดีต แล้วถ้าพฤติกรรมที่ผ่านมาทำให้หัวใจคุณแตกสลาย ทำไมคุณถึงคิดว่าอนาคตต่อจากนี้มันจะต่างกันล่ะ ใช่แล้ว ไม่มันต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้หรอก
   • เป็นไปได้ว่าลึกๆ ส่วนหนึ่งทุกอย่างที่พูดมานี้คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ คุณรู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณและรู้ดีว่าวันใดวันหนึ่งคุณก็ต้องเดินออกมา (ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงมานั่งอ่านบทความนี้) ไม่ว่าส่วนลึกๆ ในใจที่ว่านี้จะเล็กแค่ไหน ให้เวลากับมันอย่างน้อยวันละ 2-3 ชั่วโมง ให้มันปกป้องคุณที่กำลังเจ็บปวด ส่วนนี้ในใจคุณรู้ว่าอะไรจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการจิบไวน์ตอนกลางคืนกับสาวๆ การออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ในแต่ละวัน หรือไปพักร้อนที่คุณวางแผนจะไปมาสักพัก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมจดไว้ในรายการสิ่งที่จำก็แล้วกัน
4. 
   4
   รักษาระยะห่างทางร่างกาย. ตอนนี้คุณก็ตัดสินใจได้แล้วว่าคุณจะรักษาระยะห่างทางจิตใจกับเขา เพราะฉะนั้นคุณก็จำเป็นต้องรักษาระยะห่างทางร่างกายด้วย ทางเดียวที่จะทำให้ความทรมานในจิตใจหายไปได้ก็คือการอยู่ให้ห่างจากคนๆ นั้น ถ้าเป็นไปได้ (เช่น ถ้าเขาไม่ได้ทำงานที่เดียวกับคุณ) ให้อยู่ห่างๆ เขาเข้าไว้ แล้วคุณจะหายดีเร็วขึ้นมาก

   • นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการหมกตัวอยู่กับบ้านแทนที่จะออกไปเรียน/ไปฟิตเนส/ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นะ แต่คุณสามารถใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนกิจวัตรของคุณได้ ไปร้านกาแฟร้านเดียวกันประจำเลยเหรอ หาร้านใหม่แล้วกัน ไปฟิตเนสที่เดียวกันด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไปคนละเวลา ว่าไงนะ ก็ยังไม่ได้เหรอ หางานอดิเรกใหม่ทำไปเลยไป!
5. 
   5
   ชัดเจน. ถ้าคนๆ นี้เขาอยู่ในชีวิตของคุณ ยังไงเขาก็ต้องถาม ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งคิดข้ออ้างไร้สาระเพื่ออธิบายว่าทำไมคุณถึงหลบหน้าเขา สุดท้ายแล้วความจริงก็ต้องปรากฏอยู่ดี วิธีที่ดีที่สุดก็คือคุณต้องพูดความจริงกับเขาอย่างมีชั้นเชิงต่างหาก

   • ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ดีพอที่จะเขียนสคริปต์ให้คุณได้นอกจากตัวคุณเอง แต่การพูดว่า "ฉันอยากใช้เวลาคุยกับตัวเองเพื่อประเมินทุกอย่างอีกครั้งว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันกันแน่" นั้นเป็นคำพูดที่ไม่มีใครแย้งได้ แต่ถ้าเขาก็ยังไม่ชอบใจอยู่ คุณก็จะยิ่งมีเหตุผลที่จะเดิน (หรือวิ่ง) หนีออกมาจากความสัมพันธ์นี้
6. 
   6
   อย่าซ้ำเติมตัวเอง. สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นสิ่งที่กำหนดว่าคุณล้มเหลว แต่มันเป็นธรรมดาของชีวิต มันเกิดขึ้นกับทุกคน แล้วคุณรู้อะไรไหม สุดท้ายแล้วคุณจะได้เรียนรู้จากมัน คุณได้เรียนรู้จากการอกหักครั้งล่าสุดและคุณก็ผ่านมันมาได้ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ตอนนั้นคุณแค่เชื่อว่าทุกสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นทั้งหมดที่คุณจะทำได้

   • ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งนึกว่าอะไรๆ คงดีกว่านี้ถ้าคุณไม่ได้ทำแบบนี้ ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนี้ หรือไม่ได้พูดแบบนี้ ถ้าคุณเป็นตัวของตัวเองแล้วความสัมพันธ์มันยังไม่เวิร์ก นั่นแปลว่ามันมีที่มาจากสาเหตุอื่น การเปลี่ยนตัวเองนั้นเป็นกระบวนการที่น่าเหนื่อยหน่ายและสิ่งที่คุณจะได้ก็คือความไม่พอใจและความเหน็ดเหนื่อย การด่าว่าที่ตัวเองเป็นตัวเองนั้นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี! ถ้าไม่เป็นตัวเองแล้วคุณจะเป็นใครล่ะ!
7. 
   7
   เอาใจใส่ตัวเอง. คุณควรจะมีเวลาให้ "ตัวเอง" มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองเท่านั้น แต่ยังเพื่อความสัมพันธ์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ถ้าคุณไม่ได้ใกล้ชิดและไม่ได้ค้นหาว่าคุณเป็นใคร ก็จะไม่มีอะไรและไม่มีใครประสบความสำเร็จทั้งนั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นแก่ตัวนะ แต่นี่คือการทำตัวมีเหตุผลต่างหาก

   • คุณชอบทำอะไร เขียนรายการสิ่งที่คุณชอบทำมา 5 อย่างแล้ววางแผนที่จะทำในอีก 2 สัปดาห์ สุดท้ายแล้วเวลาที่คุณจะได้ปล่อยเขาไปก็จะมาถึงโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย เพราะคุณมัวแต่วางแผนว่าจะทำอะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง หลายเดือนผ่านไปรู้ตัวอีกทีคุณก็ปล่อยเขาไปได้แล้ว แล้วคุณจะรู้สึกดีมากๆ
   โฆษณา

วิธีการ 3

วิธีการ 3 ของ 4:

ปล่อยคนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ฝึกตัวเองไม่ให้เสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว. เมื่อคนรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ในชั่วพริบตาเราจะถูกถาโถมด้วยความคิดที่ว่าเราน่าจะทำหรือพูดอย่างนั้น หรือมีบางสิ่งที่เราทำหรือพูดออกไปแล้วกลับมาเสียใจว่าเราไม่น่าพูดหรือทำแบบนั้นเลย ความเสียใจเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ แต่การจมอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมีแต่จะทำให้เราทุกข์กว่าเดิม คุณว่าคนที่คุณรักเขาไม่อยากเห็นคุณมีความสุขเหรอ

   • การเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมักเกี่ยวข้องกับการให้อภัยตัวเอง เสียใจด้วยที่คู่มือการให้อภัยตัวเองนั้นไม่มีในโลก และสิ่งเดียวที่คุณจะทำได้ก็คือการบอกตัวเองว่าคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง คุณเป็นมนุษย์และคุณก็รักอย่างสุดความสามารถแล้ว และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องอยู่กับปัจจุบัน
2. 
   2
   เศร้าให้พอ. ความโศกเศร้ามีอยู่ 5 ระยะ ได้แก่ปฏิเสธ โกรธ ต่อรอง หดหู่ และยอมรับ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นตามลำดับขั้นตอนนี้ แต่ต้องรู้ไว้ด้วยว่า ไม่มีใครเศร้าใจแบบเดียวกัน แต่คุณก็ต้องเศร้าให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการขดตัวกอดตุ๊กตาหมีอยู่ที่มุมห้องหรือออกไปวิ่งจนเจ็บแข้ง ทำเลย มันจะทำให้คุณดีขึ้นในระยะยาว

   • ความคิดพื้นฐานของคนอื่นที่มีต่อความเศร้าอาจถูกพัดพาไปในที่ที่คุณรู้ดีว่าคือที่ไหน ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองต้องการทำอะไรเพื่อให้ตัวเองหายเศร้า นั่นแหละคือวิธีที่คุณควรใช้เพื่อรับมือกับความเศร้า ตราบใดที่คุณยังปฏิบัติต่อตัวเองและคนอื่นๆ ด้วยความเอาใจใส่ (อ่านให้ดี: อย่าหันหน้าเข้าหายาเสพติด แอลกอฮอล์ และอะไรเทือกนั้น) คุณจะทำอะไรก็ได้
3. 
   3
   อย่าเศร้าคนเดียว. ตอนนี้คุณและคนรอบข้างที่คุณรักต้องอยู่ด้วยกัน บางครั้งเวลาที่คุณร่วมเศร้าไปกับคนอื่น คุณจะรู้สึกเศร้าน้อยลงมาก ความพยายามที่ทุกคนมีร่วมกันจะทำให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้นมาก

   • ถ้าคุณรู้สึกว่ามีแต่คุณที่กำลังพยายามหลุดพ้นจากความทุกข์และไม่มีใครเศร้าเหมือนกันกับคุณ แค่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ ก็ช่วยคุณได้แล้ว การมีใครสักคนจับมือคุณก็ทำให้คุณรู้สึกได้แล้วว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ทุกข์ที่เกิดขึ้นจะผ่านไป หากำลังใจจากคนรอบตัวคุณ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
4. 
   4
   กลับไปหาตัวเอง. ณ จุดใดจุดหนึ่ง มันจะมีตัวตนของคุณที่เป็นอยู่อย่างอิสระที่อยู่นอกเหนือในส่วนของความสัมพันธ์ และส่วนนั้นก็ยังคงอยู่ คุณแค่ต้องกลับไปหาคุณคนเดิมอีกครั้ง แค่ปัดฝุ่นตัวเองเสียใหม่ คุณก็กลับมาสดใสได้แล้ว

   • กลับไปหาผู้คนและสิ่งต่างๆ ในอดีต อะไรที่ทำให้หัวใจคุณพองโต อะไรทำให้คุณรู้สึกได้ถึงการมีชีวิตอยู่ อะไรคือสิ่งที่คุณหวังว่าตัวเองจะมีเวลาหรือพลังมากพอที่จะทำ และสุดท้าย คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ: จะมีเวลาไหนที่ดีไปกว่าตอนนี้อีก
5. 
   5
   มุ่งหน้าสู่อนาคต. เหตุผลเดียวที่อนาคตดูไม่สดใสก็เพราะว่าคุณใส่ม่านบังตา อนาคตมีสิ่งดีๆ รอคอยคุณอยู่เหมือนเมื่อ 6 สัปดาห์ 6 เดือน หรือ 6 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ว่าคุณจะทำให้มันเป็นอย่างไร แทนที่จะจมอยู่กับอดีต เปลี่ยนมาคิดถึงวันพรุ่งนี้ดีกว่าว่ามันจะนำพาอะไรมาให้เรา

   • ขณะที่คุณกำลังจมปลักอยู่กับอดีต คุณจะไม่มีพื้นที่สำหรับอนาคตเลย ซึ่งอาจจะทำให้คุณพลาดโลกทั้งใบที่อยู่ข้างนอกนั่นเลยก็ได้ คุณว่าคนรักของคุณเขาอยากให้คุณเป็นแบบนี้เหรอ ในการที่จะตามหาความรักนั้น คุณจะต้องรู้จักให้และรับความรัก คุณจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้ามือของคุณยังเอาแต่ไขว่คว้าหาสิ่งที่เคยมี
6. 
   6
   ปิดฉากความเศร้าด้วยการเขียนจดหมายบอกลาที่มีแต่เรื่องดีๆ. อะไรก็ตามที่คุณไม่เคยพูด ให้เขียนลงไปในจดหมายนี้ พยายามเขียนแต่สิ่งดีๆ เขียนถึงชีวิตของเขาและเล่าลงไปในจดหมายว่า เขาทำให้คุณมีความสุขมากแค่ไหน

   • ขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณจะจัดการกับจดหมายอย่างไร คุณอาจจะเก็บไว้ที่ใดที่หนึ่งใกล้ๆ หัวใจคุณ ลอยลงไปในมหาสมุทรเพื่อให้กระแสคลื่นพัดพาไป หรือจุดไฟเผาแล้วมองดูควันค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า
7. 
   7
   รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะ "ผ่านไป". มันจะผ่านไป ไม่ใช่อาจจะ คงจะ หรือควรจะ คำๆ เดียวที่จะใช้ในสถานการณ์นี้ได้คือมัน "จะ" ผ่านไป บางคนอาจจะใช้เวลานานกว่าคนอื่น แต่มันจะผ่านไปแน่นอน จนกว่าจะถึงเวลานั้นก็...ทำใจให้สบาย ปล่อยให้กาลเวลาช่วยคลี่คลายปมต่างๆ แล้วเวลาจะช่วยเยียวยาทุกบาดแผลให้หายไป

   • ตอนที่มันเริ่มเกิดขึ้น คุณอาจจะไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำ เพราะคุณจะเปลี่ยนไปมากและเติบโตขึ้นมากจนดวงตาของคุณไม่ได้หันกลับไปมองว่าคุณเคยเป็นอย่างไรมาก่อน ไม่แน่มันอาจจะเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ก็ได้ บางทีคุณอาจจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการการปล่อยวางคนที่คุณรัก แต่มันอยู่ใกล้คุณมากจนคุณไม่รู้สึก แบบเดียวกับเวลาที่คุณอยู่ใกล้ภาพวาดมากเกินไปจนทำให้มองไม่ออกว่าภาพนั้นคือภาพอะไร เป็นไปได้ไหมว่าคุณเริ่มจะปล่อยเขาไปได้แล้ว ถามอะไรบ๊องๆ แน่ละว่ามันเป็นไปได้
   โฆษณา

วิธีการ 4

วิธีการ 4 ของ 4:

ปล่อยมิตรภาพที่เป็นพิษออกไปจากชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   พยายามคิดในแง่บวกให้มากที่สุด. "ไม่มีอะไรดีหรือแย่ ทุกอย่างอยู่ที่ความคิดของเรา" มิตรภาพที่คุณกำลังจะปล่อยให้หลุดลอยไปนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องแย่เสมอไป แต่มันเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ มันแสดงให้โลกเห็นว่าคุณค้นพบเส้นทางใหม่ของตัวเองที่ไม่สามารถแบ่งปันให้ใครมาร่วมเดินด้วยได้เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ว่าคุณทอดทิ้งคนๆ หนึ่งไปหรือกำลังดื้อด้านไม่ฟังใคร แต่มันคือการที่คุณทำในสิ่งที่ควรทำต่างหาก

   • ทุกประสบการณ์และทุกความสัมพันธ์ล้วนมีค่า แต่คนบางคนก็เหมาะที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในอนาคต ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย! มันก็ต้องมีปะปนกันนั่นแหละ ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพราะมันทำให้คุณโตขึ้น คุณถึงได้กลายเป็นคนที่เจ๋งสุดๆ ทุกวันนี้ได้ยังไงล่ะ
2. 
   2
   อยู่ท่ามกลางผู้คน. มิตรภาพแบบนี้กำลังทำให้คุณกลายเป็นคนที่คุณไม่อยากเป็น (และแน่นอนว่ามิตรภาพมีพลังมากพอที่จะทำอย่างนั้นได้จริงๆ) มิตรภาพที่เป็นพิษต่อชีวิตสามารถซึมซับและแทรกซึมตัวเองเข้าไปในด้านอื่นๆ ของชีวิตได้ด้วย ทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงได้ก็คือค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มอื่น กลุ่มคนที่ทำให้คุณรู้สึกดี

   • ถ้าคุณไม่มีแผนสำรอง รับรองว่าเดี๋ยวคุณจะมีแน่ คุณอาจจะต้องค้นหาเพื่อนกลุ่มใหม่ มันน่ากลัว แต่ถ้ามันง่ายเกินไป มันก็ไม่คุ้มค่าพอที่เราจะเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนหรอกใช่ไหม ลองเข้าชมรม เรียนเพิ่มเติม หางานอดิเรกใหม่ ปล่อยให้ตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ใหญ่กว่าเดิม ยิ่งโลกของคุณใหญ่เท่าไหร่ คนๆ นี้ก็จะมีอิทธิพลต่อคุณได้น้อยลงเท่านั้น
3. 
   3
   พูดดีๆ. เวลาที่คุณเป็นเพื่อนกับพวกกาฝาก โดยปกติแล้วพวกกาฝากพวกนี้จะไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำตัวเป็นกาฝากเอาเปรียบคนอื่นอยู่ สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากจะทำก็คือการตะโกนด่าเพื่อนคนนี้ฉอดๆ สุดท้าย ณ ช่วงหนึ่งของชีวิตมันก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณสองคนได้มาเป็นเพื่อนกัน บางส่วนในตัวคุณก็ยังใส่ใจเพื่อนคนนี้อยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ให้อธิบายทุกอย่างตามความจริง แต่ก็ต้องพูดดีๆ กับเขาด้วย

   • ถ้าคุณไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง ให้บอกสิ่งที่คุณบอกกับตัวเองมาตลอด "เรายืนอยู่บนคนละเส้นทาง ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก ฉันก็ยังเห็นเธอเป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง แต่มิตรภาพของเรามันตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ฉันเคยเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนี้ พฤติกรรมของเธอมันมีแต่จะฉุดให้ฉันแย่ แล้วฉันก็ไม่อยากเป็นที่รองรับของใครอีกแล้ว" พวกเขาอาจจะตั้งคำถามและอาจจะโกรธ แต่สุดท้ายแล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นไม่ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรก็ตาม
4. 
   4
   ตีตัวออกห่าง. บางครั้งคนเราพอสูญเสียอะไรไปแล้วก็จะรู้สึกอยากได้มันมากขึ้นกว่าเก่า เพื่อนคนนี้อาจจะเริ่มโทรศัพท์หาคุณบ่อยกว่าที่เคย และถึงเพื่อนจะสาบานว่าเขาเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองแล้ว อย่าเพิ่งปักใจเชื่อในทันที คุณต้องใช้เวลาวิเคราะห์ตัวเอง ถอยหลังกลับมาแล้วมองสถานการณ์ตามความเป็นจริง

   • ตัวเพื่อนเองก็เหมือนกัน ถ้าเพื่อนบอกว่าขอคุยเรื่องนี้หน่อย ก็ให้บอกเขาไปตามนั้น คุณทั้งคู่ต้องการเวลาแยกจากกันเพื่อดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีกันและกัน เหมือนกับที่คุณต้องถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อดูว่าภาพนั้นคือภาพอะไรกันแน่ ถ้าผ่านไปสัก 2-3 สัปดาห์แล้วคุณรู้สึกว่า คุณอยากเจอเพื่อนและเพื่อนก็รู้สึกแบบเดียวกันกับคุณ ก็ค่อยๆ จูนเข้าหากันใหม่ บางครั้งคนเราก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจริงๆ
5. 
   5
   รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณมองหาในตัวคนที่จะมาเป็นเพื่อนกับคุณในอนาคต. มันคงจะแย่มากถ้าคุณเลิกคบเพื่อนคนหนึ่งเพียงเพื่อที่จะไปคบกับเพื่อนใหม่ที่นิสัยเหมือนเพื่อนเก่าเป๊ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณมองหากลุ่มเพื่อนใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม คุณอยากให้เพื่อนใหม่เหล่านั้นเป็นยังไง คุณให้คุณค่าอะไรในตัวคนอื่น

   • วิธีนี้อาจต้องอาศัยการวิเคราะห์ตัวเองด้วยสักหน่อย อะไรในตัวเพื่อนอีกคนที่คุณชอบและทำให้คุณสองคนได้มาคบกัน อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจากเพื่อนแต่พวกเขาไม่สามารถให้คุณได้ อะไรคือ 3 สิ่งที่คุณต้องการจากคนเป็นเพื่อน
6. 
   6
   สนใจแค่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้. เพื่อนของคุณคนนี้เขาก็มีชีวิตของเขาเอง คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ หรือถ้าจะลองก็ไม่ว่ากัน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรเลย พวกเขาก็เป็นแบบนั้นของเขาและคุณก็คือตัวคุณ ไม่มีใครทำอะไรผิดบาป แต่เนื่องจากว่ามันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็เปล่าประโยชน์ที่จะไปเสียพลังงานให้กับเรื่องพวกนี้ สนใจแค่ในส่วนที่คุณเปลี่ยนแปลงได้เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้นก็พอ

   • สิ่งหนึ่งที่คุณเปลี่ยนได้ก็คือสภาพแวดล้อม คุณเปลี่ยนทัศนคติได้ ความต้องการของคุณก็เปลี่ยนแปลงได้ ขณะที่คุณกำลังเริ่มเติบโตให้สนใจแค่ด้านใดด้านหนึ่งนี้ก่อน การฟังเสียงหัวใจของตัวเองจะทำให้คุณมองเห็นทางเดินชีวิตที่เหมาะกับตัวเองได้กระจ่างมากยิ่งขึ้น
   โฆษณา

เคล็ดลับ

• ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็ต้องเชื่อมั่นและรักตัวเองด้วย รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุผลในตัวของมัน และผู้คนก็ผ่านมาผ่านไปในชีวิตของเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าทนทุกข์ไปตลอดชีวิต และคุณควรรู้ด้วยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ย่อมมีใครสักคนรอคุณอยู่ตรงนั้น
• การปล่อยให้ใครสักจากไปไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเดินออกไปจากชีวิตคุณ การปล่อยให้ใครสักคนจากไปอาจจะหมายความว่าคุณยังอยู่กับเขา ห่วงใยเขา แต่ไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้ามากัดกินคุณ ทำร้ายคุณ หรือไม่ให้คุณได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง
• การเข้าไปเยี่ยมชมความทรงจำเก่าๆ นั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเสมอ แต่ถึงจุดหนึ่งตู้เก็บความทรงจำมันก็ต้องเอาทุกอย่างออกไปให้หมด จัดระเบียบภาพเก่าๆ ให้เรียบร้อย แล้วประตูบานใหม่ถึงจะเปิดออกได้
• หลังจากที่สูญเสียคนรักไปแล้ว ให้เวลาตัวเองคร่ำครวญเสียให้พอ หลังจากนั้นค่อยเริ่มเดินทางในเส้นทางใหม่ๆ ที่คุณยังไม่เคยสัมผัส พบปะเพื่อนใหม่และทำในสิ่งที่คุณอาจจะสนใจ การเริ่มชีวิตใหม่เพียงลำพังในช่วงแรกๆ อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทางเดินชีวิตเส้นใหม่นี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกเติมเต็มและนำความสุขมาให้คุณก็ได้
• จำไว้ว่า ไม่มีระยะเวลากำหนดตายตัวว่าเราจะต้อง คร่ำครวญ ถึงเมื่อไหร่ อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณอยากจะออกไปกินมื้อค่ำกับคนอื่นหลังจากที่สามีหรือภรรยาเสียชีวิตไปได้ 4 เดือนหรือ 6 เดือน แต่ละคนมีแนวทางและระยะเวลาที่รู้สึกสบายใจกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ต่างกัน คุณต้องอยู่ต่อไปเพื่อคนที่คุณรัก และการที่คุณจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อไหร่และอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณและความรู้สึกของคุณที่มีต่อเรื่องนี้ล้วนๆ
• เข้าร่วมกลุ่มกีฬาหรืองานอดิเรกที่ทำให้คุณยุ่งตลอดเวลาและกำจัดทุกอย่างที่ทำให้คุณนึกถึงพวกเขา

โฆษณา