วิธีการ บอกและดูแลคนที่ป่วยเป็นไบโพล่าร์

ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความ

โรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) เดิมเรียกว่าภาวะแมเนียและซึมเศร้า (manic depression) คือความผิดปกติของสมองที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ การกระทำ พลังงานและการทำงานในแต่ละวัน แม้ว่าจะมีผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเกือบ 6 ล้านคนที่มีอาการไบโพลาร์ แต่ก็มักมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งเหมือนอาการป่วยทางจิตส่วนใหญ่ ในสังคมทั่วไปคนมักพูดว่าใครก็ตามที่เป็น “ไบโพลาร์” จะแสดงอารมณ์แปรปรวนออกมา แต่เกณฑ์การวินิจฉัยเรื่องโรคไบโพลาร์เป็นเรื่องที่เข้มงวดมากกว่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วโรคไบโพลาร์มีหลายประเภทด้วยกัน[1] และแม้ว่าโรคไบโพลาร์แต่ละประเภทจะเป็นโรคที่ดูร้ายแรงแต่มันสามารถรักษาได้โดยผ่านการใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ร่วมกับจิตบำบัด[2] หากคุณคิดว่าคนที่คุณรู้จักเป็นโรคไบโพลาร์อยู่ ให้อ่านบทความนี้เพื่อลองหาวิธีช่วยเหลือคนที่คุณรักดูสิ


วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

การเรียนรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 มองหา “ช่วงภาวะทางอารมณ์” ที่รุนแรงผิดปกติ.
    ช่วงอารมณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากอารมณ์ปกติอย่างมีนัยสำคัญ หรือบางทีถึงขั้นรุนแรง นิยมเรียกกันว่า “อารมณ์แปรปรวน” คนที่เป็นโรคไบโพลาร์อาจสลับระหว่างช่วงอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วหรือไม่บ่อยเท่าไหร่นัก[3]
    • ช่วงภาวะทางอารมณ์มี 2 ประเภทพื้นฐานคือ ช่วงที่มีอารมณ์ดีพลุ่งพล่านมากผิดปกติหรือช่วงภาวะ “แมเนีย” และช่วงอารมณ์หดหู่มากผิดปกติหรือช่วงภาวะ “ซึมเศร้า” นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่อาจมีช่วงภาวะ “ผสม” ซึ่งมีอาการของภาวะแมเนียและซึมเศร้าปรากฏในเวลาเดียวกัน[4]
    • คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อาจมีช่วงภาวะ “ปกติ” อยู่ระหว่างช่วงภาวะทางอารมณ์เหล่านี้ด้วย[5]
  2. How.com.vn ไท: Step 2 หาความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์หลากหลายประเภท....
    หาความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์หลากหลายประเภท. โรคไบโพลาร์มี 4 ประเภทพื้นฐานที่ได้รับวินิจฉัยอยู่เป็นประจำคือ ไบโพลาร์ประเภท1 ไบโพลาร์ประเภท2 ไบโพลาร์ประเภทไม่สามารถระบุได้ (Bipolar Disorder Not Otherwise Specified) และไบโพลาร์ประเภทไซโคลไธเมีย (Cyclothymia) ประเภทของโรคไบโพลาร์จะถูกวินิจฉัยโดยพิจารณาจากความรุนแรงและระยะเวลาของโรค เช่นเดียวกับวงจรของช่วงภาวะทางอารมณ์ว่าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแค่ไหน[6] ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนสุขภาพจิตจะเป็นผู้วินิจฉัยโรคไบโพลาร์ ซึ่งคุณไม่สามารถทำมันได้ด้วยตัวเองและไม่ควรพยายามทำเช่นนั้น
    • โรคไบโพลาร์ประเภท1 จะเกี่ยวข้องกับช่วงภาวะแมเนียหรือผสมซึ่งเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน นอกจากนั้นคนที่เป็นภาวะแมเนียรุนแรงอาจทำให้เขา/เธอตกอยู่ในภาวะอันตรายพอที่จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์โดยทันที นอกจากนั้นช่วงภาวะซึมเศร้ายังเกิดขึ้นเป็นเวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์อีกด้วย[7]
    • โรคไบโพลาร์ประเภท2 เกี่ยวข้องกับช่วงภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรงน้อยกว่าที่เรียกว่า ไฮโปแมเนีย (Hypomania) คือสภาวะแมเนียที่รุนแรงน้อยกว่า ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึก “ดีมาก” ทำให้เกิดผลดีสูงสุดและสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม สภาวะแมเนียประเภทนี้อาจพัฒนาไปสู่แมเนียประเภทรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา[8] นอกจากนั้นช่วงภาวะซึมเศร้าในไบโพลาร์ประเภท2 จะรุนแรงน้อยกว่าช่วงภาวะซึมเศร้าในไบโพลาร์ประเภท1
    • ไบโพลาร์ประเภทไม่สามารถระบุได้ (BP-NOS) คือ การวินิจฉัยที่ทำขึ้นเมื่อมีอาการของโรคไบโพล่าร์แต่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของเกณฑ์การวินิจฉัยทางจิตเวช (DSM-5) กระนั้น อาการเหล่านี้ยังคงไม่ใช่ “ภาวะปกติ” ตามมาตรฐานของบุคคลทั่วไป
    • ไบโพลาร์ประเภทไซโคลไธเมียหรือสภาวะไซโคลไธเมียเป็นไบโพลาร์ชนิดอ่อน เป็นระยะเวลาของช่วงไฮโปมาเนียสลับกับช่วงภาวะซึมเศร้าชนิดสั้นและอ่อน ไบโพลาร์ชนิดนี้จะแสดงอาการอย่างน้อย 2 ปีตามเกณฑ์การวินิจฉัย[9][10]
    • คนที่เป็นไบโพลาร์อาจพบกับ “วงจรสลับเร็ว (rapid cycling)” ซึ่งเธอ/เขาอาจพบกับช่วงภาวะทางอารมณ์ 4 แบบ คือ มีทั้งภาวะซึมเศร้า ภาวะแมเนีย ภาวะไฮโปแมเนีย ภาวะผสมหรือมากกว่านั้นภายในช่วงเวลา 12 เดือน วงจรสลับเร็วในไบโพลาร์นี้ดูเหมือนจะส่งผลกระทบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อยและสามารถเป็นๆ หายๆ ได้[11][12]
  3. How.com.vn ไท: Step 3 รู้จักวิธีการรับรู้ถึงช่วงภาวะแมเนีย.
    วิธีการปรากฏของช่วงภาวะแมเนียอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามมันจะแสดงถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านหรือ “เร่งขึ้น” อย่างเห็นได้ชัดมากกว่า “ภาวะปกติ” ของบุคคลหรือสภาวะทางอารมณ์ขั้นพื้นฐาน บางอาการของภาวะแมเนียอาจรวมถึง [13][14][15]
    • รู้สึกมีความสุขเบิกบานหรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียอาจรู้สึก “เคลิบเคลิ้ม” หรือมีความสุขแม้แต่เรื่องแย่ๆ ก็ไม่สามารถทำลายอารมณ์ของเขา/เธอได้ ความรู้สึกของความสุขอย่างสุดขีดนี้จะยังคงอยู่แม้จะไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด
    • มีความมั่นใจในตัวเองมาก มีความรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมีอำนาจและมีอาการหลงผิดคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียอาจมีอีโก้เหลือล้นและความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองสูงกว่าปกติ เธอ/เขาอาจเชื่อว่าสามารถทำอะไรได้เกินตัวราวกับว่าไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางเขา/เธอได้ และเธอ/เขาอาจจินตนาการว่าตนมีการติดต่อพิเศษกับบุคคลสำคัญหรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้
    • หงุดหงิดและโกรธเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียอาจตะคอกใส่ผู้อื่นแม้จะไม่มีสิ่งใดมายั่วยุ เธอ/เขามีแนวโน้มที่จะ “ขี้โมโห” หรือโกรธง่ายกว่าปกติ
    • มีอาการสมาธิสั้นหรือไฮเปอร์ คือคนที่อาจทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันในเวลาเดียวหรือวางแผนกำหนดสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมากเกินกว่าจะสามารถทำได้อย่างเหมาะสม เธอ/เขาอาจเลือกทำกิจกรรมมากมายแม้จะดูเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไม่มีจุดหมายแทนการนอนหลับหรือรับประทานอาหาร
    • ช่างพูดช่างคุย พูดจาไม่ปะติดปะต่อหรือมีความคิดมากมายแข่งกันในหัวเพิ่มขึ้น คนที่อยู่ในช่วงภาวะแมเนียมักจะมีปัญหาในการรวบรวมความคิด แม้ว่าเธอ/เขาจะพูดคุยมากกว่าปกติ เธอ/เขาอาจเปลี่ยนจากความคิดหรือสิ่งที่ทำอยู่ไปอย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว
    • มีความรู้สึกกระสับกระส่ายหรือปั่นป่วน คนที่อาจรู้สึกปั่นป่วนหรือร้อนใจจนไม่สามารถอยู่นิ่งได้นั้นอาจมีจิตใจวอกแวกได้ง่าย
    • มีพฤติกรรมที่อยู่ในภาวะเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน คนที่อาจทำสิ่งผิดปกติไปจากเดิมหรือทำตัวอยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ปลอดภัย เพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อของโดยไม่ยับยั้งหรือเล่นการพนัน กิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ เช่น การเล่นหรือการแสดงความสามารถทางกีฬาที่รุนแรงและอันตรายโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมมากพอนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
    • มีความต้องการนอนลดลง คนที่ใช้เวลานอนน้อยมากแต่ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพักผ่อนนั้น เธอ/เขาอาจประสบกับภาวะนอนไม่หลับหรือรู้สึกราวกับว่าเธอ/เขาไม่จำเป็นต้องนอน
  4. How.com.vn ไท: Step 4 รู้จักกับวิธีการรับรู้ถึงช่วงภาวะซึมเศร้า.
    ถ้าหากช่วงภาวะแมเนียทำให้คนที่เป็นไบโพลาร์รู้สึกราวกับว่าเธอ/เขาเป็น “คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้” ช่วงภาวะซึมเศร้าอาจเป็นความรู้สึกของการถูกบดขยี้ในจุดต่ำสุดก็ได้ อาการอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน แต่มีบางอาการร่วมกันที่ต้องระวังคือ[16][17]
    • รู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวังอย่างรุนแรง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏสาเหตุแน่ชัดเช่นเดียวกับรู้สึกมีความสุขหรือตื่นเต้นในช่วงภาวะแมเนีย คนป่วยอาจรู้สึกสิ้นหวังหรือไร้ค่าถึงแม้ว่าคุณจะพยายามให้กำลังใจเธอ/เขาก็ตาม
    • มีภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia) นี่เป็นวิธีการพูดที่ฟังดูดีถึงคนที่ไม่แสดงความสนใจหรือความเพลิดเพลินในสิ่งที่เธอ/เขาเคยมีความสุขที่จะทำอีกต่อไป นอกจากนั้นแรงขับทางเพศอาจลดต่ำลงอีกด้วย
    • ความเมื่อยล้าเป็นเรื่องที่พบบ่อยในคนป่วยเป็นภาวะซึมเศร้าซึ่งจะรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา นอกจากนี้เธอ/เขาอาจคร่ำครวญถึงความเจ็บหรือปวดอีกด้วย
    • รูปแบบการนอนถูกรบกวน นอกจากภาวะซึมเศร้าแล้ว พฤติกรรมการนอนหลับใน “ภาวะปกติ” ของคนเรานั้นถูกรบกวนในทางใดทางหนึ่ง บางคนนอนมากเกินไปขณะที่คนอื่นๆ อาจนอนน้อยเกินไป ทั้งสองวิธีนี้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการนอนของพวกเขาแตกต่างอย่างชัดเจนจาก “ภาวะปกติ”
    • การเปลี่ยนแปลงของความอยากอาหาร คนที่อยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้าอาจน้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้น พวกเขาอาจกินมากเกินไปหรือกินอาหารไม่เพียงพอซึ่งความผันแปรเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็น “ภาวะปกติ”
    • ไม่มีสมาธิ ภาวะซึมเศร้าสามารถสร้างปัญหาในการตั้งใจจดจ่อหรือแม้แต่ตัดสินใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนป่วยอาจรู้สึกว่าเกือบจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้เมื่อเธอ/เขากำลังตกอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า
    • มีความคิดหรืออยากฆ่าตัวตาย อย่าสันนิษฐานว่าการแสดงออกของความคิดหรือความตั้งใจใดๆ ก็ตามเป็นแค่ “การเรียกร้องความสนใจ” การฆ่าตัวตายคือความเสี่ยงอย่างแท้จริงสำหรับคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ที่ 191 ทันทีหากคนรักของคุณคิดหรือตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย
  5. How.com.vn ไท: Step 5 อ่านบทความทั้งหมดเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์.
    คุณดำเนินการขั้นตอนแรกได้อย่างดีเยี่ยมในการค้นหาข้อมูลจากบทความนี้ไปแล้ว ยิ่งคุณรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์มากเท่าไหร่ คุณจะสามารถช่วยเหลือคนที่คุณรักได้ดีขึ้นเท่านั้นและข้างล่างนี้คือแหล่งข้อมูลบางส่วนที่คุณอาจนำไปพิจารณาได้[18][19]
    • กรมสุขภาพจิตคือสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการเริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ อาการของมันและสาเหตุที่เป็นไปได้ในการเกิดโรค ตัวเลือกในการรักษาและวิธีที่จะใช้ชีวิตกับอาการป่วยนี้ [20]
    • กลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์ เช่น “ชมรมเพื่อนไบโพลาร์” (Bipolar Friend Club) ของสมาคมสายใยครอบครัวหรือเพจ “Better together” ใน Facebook​[21] ได้จัดหาข้อมูลไว้ให้สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไบโพลาร์และคนรักของพวกเขา[22]
    • ในบันทึกของ มาร์ยา ฮอร์นบาเกอร์เรื่อง “Madness: A Bipolar Life” เล่าเกี่ยวกับการต่อสู้กับโรคไบโพลาร์ตลอดช่วงชีวิตของผู้เขียนและในบันทึกของดร.เคย์ เรดฟิลด์ เจมิสันเรื่อง “An Unquiet Mind” ก็ได้เล่าเกี่ยวกับชีวิตผู้เขียนซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ป่วยเป็นไบโพลาร์เช่นกัน ในขณะที่ประสบการณ์ของแต่ละคนสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับพวกเขา หนังสือเหล่านี้อาจช่วยคุณให้เข้าใจว่าคนรักของคุณกำลังก้าวผ่านสิ่งใดอยู่ก็เป็นได้
  6. How.com.vn ไท: Step 6 ไม่ยอมรับเรื่องเล่าต่อกันมาบ่อยๆ เกี่ยวกับการป่วยทางจิต....
    ไม่ยอมรับเรื่องเล่าต่อกันมาบ่อยๆ เกี่ยวกับการป่วยทางจิต. เป็นเรื่องธรรมดาที่โรคทางจิตเวชอาจถูกตราหน้าว่าเป็น “สิ่งผิด” แต่เธอ/เขาสามารถจะ “ปลดปล่อยความรู้สึกนี้ออกไป” ได้หากเธอ/เขา “พยายามอย่างหนักมากพอ” หรือ “คิดแง่บวกมากขึ้น”[23]ความจริงคือความคิดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องจริง โรคไบโพลาร์มีผลมาจากปัจจัยการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนรวมไปถึงลักษณะทางพันธุกรรม โครงสร้างสมอง ความไม่สมดุลของสารเคมีในร่างกายและความกดดันทางสังคมและวัฒนธรรม[24] คนที่เป็นโรคไบโพลาร์ไม่สามารถหายขาดได้แต่อย่างไรก็ตามมันยังสามารถรักษาได้[25]
    • คิดถึงวิธีที่คุณจะพูดกับใครสักคนที่ป่วยเป็นโรคแตกต่างกันให้ดี เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งคุณอาจจะถามเขาว่า “คุณเคยพยายามที่จะหายขาดจากโรคมะเร็งไหม?” การบอกใครสักคนที่เป็นไบโพลาร์เพื่อให้ “พยายามให้หนักขึ้น” เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องพอๆ กัน[26]
    • มีการเข้าใจผิดว่าไบโพลาร์เป็นโรคที่พบได้น้อยมาก แต่ในความเป็นจริงนั้นมีผู้ใหญ่ชาวอเมริกันประมาณ 6 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์บางประเภท[27] แม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงเช่น สตีเฟ่น ฟราย แคร์รี่ ฟิชเชอร์และฌองคล็อด แวนแดมม์ ต่างก็เคยเปิดเผยเรื่องราวการถูกวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์[28][29]
    • อีกเรื่องเล่าต่อกันมาบ่อยๆ คือช่วงภาวะอารมณ์แมเนียหรือซึมเศร้าเป็น “ภาวะปกติ” หรือเป็นเรื่องที่ดี แม้เป็นเรื่องจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งวันที่ดีและวันแย่ๆ แต่โรคโบโพลาร์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รุนแรงและสร้างความเสียหายได้มากกว่า “อารมณ์แปรปรวน” หรือ “วันแย่ๆ” ปกติทั่วไป พวกมันอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย[30]
    • ความผิดพลาดที่พบบ่อยคือการสร้างความสับสนระหว่างโรคจิตเภทกับโรคไบโพลาร์ พวกมันไม่ใช่โรคเดียวกันแม้ว่าจะมีอาการบางอย่าง (เช่น อาการซึมเศร้า) เหมือนกัน โรคไบโพลาร์เป็นลักษณะเฉพาะ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างช่วงภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรง ส่วนมากแล้วโรคจิตเภททำให้เกิดอาการเหล่านี้ เช่น อาการประสาทหลอน อาการหลงผิดและอาการพูดไม่รู้เรื่องหรือไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ซึ่งมักจะไม่ปรากฏในโรคไบโพลาร์[31]
    • หลายคนเชื่อว่าคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์หรือซึมเศร้านั้นเป็นอันตรายต่อคนอื่น สื่อข่าวต่างๆ เป็นตัวการที่ร้ายกาจอย่างยิ่งในการส่งเสริมความคิดนี้ ในความเป็นจริงนั้นมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ไม่ได้กระทำการรุนแรงใดๆ ไปมากกว่าคนปกติ อย่างไรก็ตามคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อาจมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจหรือพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าคนปกติเช่นกัน[32]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

การพูดคุยกับคนที่คุณรัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. How.com.vn ไท: Step 1 หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่ฟังดูเจ็บปวด.
    บางคนอาจพูดติดตลกว่าพวกเขาเป็น “โบโพลาร์อ่อนๆ” หรือ “โรคจิต” เมื่อพวกเขากำลังอธิบายเกี่ยวกับตัวเองแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่ามีอาการป่วยทางจิต นอกจากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว การใช้ภาษาประเภทนี้ทำให้ประสบการณ์หรือเรื่องราวของคนป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ดูไม่มีค่า ดังนั้นคุณจะต้องให้เคารพเมื่อพูดถึงอาการป่วยทางจิต[33]
    • เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องจำไว้ว่าคนเรานั้นเป็นมากกว่าอาการป่วย พวกเขาก็มีความรู้สึกเช่นกัน ดังนั้นไม่ควรใช้คำพูดเหมารวมกับพวกเขาเช่น “ฉันคิดว่าคุณเป็นไบโพลาร์ล่ะ” แต่ให้ใช้คำพูดนี้แทน เช่น “ฉันคิดว่าคุณอาจป่วยเป็นไบโพลาร์นะ”[34]
    • การพูดถึงใครบางคน “ราวกับว่า” อาการเจ็บป่วยนั้นจะลดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งของพวกเขาลงไป สิ่งนี้เหมือนเป็นการตราหน้าเรื่องอาการเจ็บป่วยทางจิตของพวกเขาอยู่ แม้ว่าคุณจะไม่ได้หมายความอย่างนั้นก็ตาม
    • พยายามปลอบใจคนอื่นด้วยการพูดว่า “ฉันก็ป่วยเป็นไบโพลาร์เหมือนกัน” หรือ “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง” นั้นสามารถทำร้ายความรู้สึกของผู้ฟังมากกว่าจะทำให้รู้สึกดี สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เขารู้สึกราวกับว่าคุณไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างจริงจัง
  2. How.com.vn ไท: Step 2 พูดคุยเรื่องความกังวลใจของคุณกับคนที่คุณรัก....
    พูดคุยเรื่องความกังวลใจของคุณกับคนที่คุณรัก. คุณอาจกังวลเรื่องการคุยกับคนที่คุณรักเพราะกลัวว่าจะทำให้เขา/เธอไม่พอใจ จริงๆแล้วมันเป็นประโยชน์และสำคัญมากที่จะการพูดคุยกับคนที่คุณรักเรื่องความกังวลใจของคุณ การ “ไม่” พูดคุยเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยทางจิตนั้นจะสร้างตราบาปที่ไม่ยุติธรรมและอาจเป็นการส่งเสริมให้คนป่วยเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขา “แย่” หรือ “ไร้ค่า” หรือควรรู้สึกอับอายเรื่องความเจ็บป่วยของตัวเอง เมื่อคุณเริ่มเข้าหาคนที่คุณรักแล้วให้เปิดใจ ซื่อสัตย์และแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาให้เขาเห็น[35]
    • สร้างความมั่นใจว่าเธอ/เขาไม่ได้อยู่คนเดียว โรคไบโพลาร์สามารถทำให้คนป่วยรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก บอกคนที่คุณรักว่าคุณอยู่ตรงนี้เพื่อเธอ/เขา และจะช่วยเหลือสนับสนุนเขา/เธอเท่าที่คุณจะทำได้
    • ยอมรับว่าอาการเจ็บป่วยของคนที่คุณรักนั้นเป็นเรื่องจริง การพยายามทำให้อาการของโรคเป็นเรื่องเล็กไม่ได้ทำให้เธอ/เขารู้สึกดีขึ้นได้ แทนที่จะพยายามบอกคนป่วยว่าอาการเจ็บป่วยนั้น “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ให้ยอมรับแทนว่าอาการตอนนี้เป็นเรื่องร้ายแรงแต่สามารถรักษาได้ ยกตัวอย่างเช่น “ฉันรู้ว่าคุณป่วยจริงและรู้ว่ามันทำให้คุณรู้สึกและทำสิ่งที่ดูไม่เหมือนตัวคุณแต่เราสามารถหาทางช่วยเหลือคุณไปด้วยกันได้นะ”
    • ถ่ายทอดความรักและการยอมรับไปให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจเชื่อว่าเธอ/เขาไร้ค่าหรือถูกทำลาย ตอบโต้กับความเชื่อแง่ลบเหล่านี้โดยการแสดงความรักและการยอมรับในตัวผู้ป่วย เช่น “ฉันรักคุณนะ คุณคือสิ่งสำคัญสำหรับฉันและฉันก็เป็นห่วงคุณด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงอยากช่วยคุณ”
  3. How.com.vn ไท: Step 3 ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ฉัน/ผม/เรา” หรืออะไรก็ได้ตามถนัดในการถ่ายทอดความรู้สึกของคุณ....
    ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ฉัน/ผม/เรา” หรืออะไรก็ได้ตามถนัดในการถ่ายทอดความรู้สึกของคุณ. มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ทำให้ไม่ดูเหมือนกับว่าคุณกำลังโจมตีหรือตัดสินคนที่คุณรักอยู่เมื่อคุณพูดคุยกับอีกคนหนึ่ง คนที่มีอาการป่วยทางจิตอาจรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้ต่อต้านพวกเขา ดังนั้นจึงสำคัญมากที่จะแสดงให้เห็นว่าคุณอยู่ข้างเดียวกับคนที่คุณรัก
    • ตัวอย่างเช่น “ฉันเป็นห่วงคุณในบางเรื่องที่ฉันได้พบเห็นจริงๆ”
    • มีบางคำพูดที่ดูเหมือนเป็นการปกป้อง คุณควรหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้ เช่น “ฉันแค่พยายามที่จะช่วย” หรือ “คุณแค่ต้องฟังฉัน”
  4. How.com.vn ไท: Step 4 หลีกเลี่ยงการข่มขู่และการตำหนิ.
    คุณอาจกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของคนที่คุณรักและยินดีที่จะสร้างความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือ “โดยวิธีใดๆ ก็ตามที่จำเป็น” อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรจะพูดเกินจริง ข่มขู่ “ทำให้รู้สึกผิด” หรือกล่าวหาเพื่อที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาค้นหาวิธีการช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้เขาเชื่อว่าคุณเห็นบางสิ่งที่ “ผิด” ในตัวพวกเขา[36]
    • หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดเหล่านี้ เช่น “คุณทำให้ฉันเป็นห่วง” หรือ “พฤติกรรมของคุณแปลกๆ นะ” สิ่งเหล่านี้ฟังดูเป็นการกล่าวหาและอาจเป็นการหยุดยั้งคนป่วย
    • การใช้คำพูดที่พยายามจะเล่นกับความรู้สึกผิดของคนอื่นนั้นไม่ช่วยอะไรเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พยายามไม่ใช้ความสัมพันธ์ของคุณเป็นอำนาจในหาความช่วยเหลือ โดยการพูดประมาณว่า “หากคุณรักฉันจริงๆ คุณจะต้องช่วยฉัน” หรือ “ลองคิดดูว่าคุณกำลังทำอะไรเพื่อครอบครัวของเราบ้าง” คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มักต้องต่อสู้กับความรู้สึกอับอายและไร้ค่าอยู่บ่อยๆ และการพูดเช่นนี้จะทำให้มันแย่ลงไปอีก
    • หลีกเลี่ยงการข่มขู่ คุณไม่สามารถบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่คุณต้องการได้ การพูดว่า “หากคุณไม่ให้ความช่วยเหลือ ฉันก็จะไปจากคุณ” หรือ “ฉันจะไม่ช่วยเหลือค่าใช้ค่าเรื่องรถของคุณอีกต่อไปหากคุณไม่ช่วยฉัน” จะทำให้ผู้ป่วยตึงเครียดและความเครียดนี้อาจก่อให้เกิดช่วงภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น
  5. How.com.vn ไท: Step 5 ตีกรอบการพูดโต้ตอบกันในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ....
    ตีกรอบการพูดโต้ตอบกันในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ. บางคนอาจไม่เต็มใจยอมรับว่าพวกเขามีปัญหา เมื่อคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์กำลังประสบกับภาวะแมเนีย เธอ/เขามักรู้สึกว่าตัวเอง “มีความสุขอย่างมาก” จึงยากที่จะยอมรับว่ามีปัญหาใดๆ ก็ตาม แต่เมื่อผู้ป่วยกำลังอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า เธอ/เขาอาจรู้สึกราวกับว่าตนเองมีปัญหา แต่ไม่สามารถมองเห็นความหวังใดๆ ในการรักษาได้ [37] คุณสามารถตีกรอบความกังวลของคุณให้เป็นความกังวลในการรักษาซึ่งมันอาจช่วยได้
    • ตัวอย่างเช่น คุณสามารถย้ำความคิดที่ว่าโรคไบโพลาร์คืออาการเจ็บป่วยเหมือนกับโรคเบาหวานหรือโรคมะเร็ง คุณอยากจะให้เขา/เธอหาวิธีการรักษาโรคนี้เหมือนกันคุณส่งเสริมให้คนอื่นหาวิธีการรักษาโรคมะเร็ง
    • หากเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่ามีปัญหา คุณสามารถแนะนำเธอ/เขาให้ไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการที่คุณสังเกตได้แทนที่จะบอกว่ารักษา “ความผิดปกติ” ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่าการแนะนำเขาให้ไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับหรือความเมื่อยล้า อาจช่วยให้เขา/เธอหาวิธีการช่วยเหลือได้
  6. How.com.vn ไท: Step 6 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยแบ่งปันความรู้สึกและประสบการณ์ของเขา/เธอร่วมกับคุณ....
    ส่งเสริมให้ผู้ป่วยแบ่งปันความรู้สึกและประสบการณ์ของเขา/เธอร่วมกับคุณ. เป็นเรื่องง่ายในการสนทนาที่จะแสดงความกังวลของคุณออกมาให้กลายเป็นการสั่งสอนคนที่คุณรักได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คุณควรชวนคนที่คุณรักมาเพื่อบอกคุณเรื่องอะไรก็ตามที่เธอ/เขากำลังคิดหรือรู้สึก จำไว้ว่าแม้ว่าคุณอาจได้รับผลกระทบจากความผิดปกติของผู้ป่วย แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย[38]
    • ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณแบ่งปันความกังวลของคุณกับเขาแล้ว ให้พูดประมาณว่า “คุณอยากจะบอกให้ฉันรู้ในสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ตอนนี้หรือไม่?” หรือ “ตอนนี้คุณก็ได้ยินไปหมดแล้วว่าฉันอยากจะพูดอะไร แล้วคุณล่ะ กำลังคิดอะไรอยู่?”
    • อย่าคิดไปเองว่าคุณรู้ความรู้สึกของคนอื่น คุณอาจจะพูดง่ายๆ ว่า “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร” ด้วยความมั่นใจ แต่ในความเป็นจริงสิ่งนี้อาจฟังดูไม่ใส่ใจไยดีความรู้สึกของคนอื่นได้ ให้ลองพูดประมาณว่าคุณยอมรับความรู้สึกของเขาโดยไม่อ้างว่าพวกเขาเป็นเหมือนที่คุณคิดแทน เช่น “ฉันเข้าใจได้ว่าทำไมสิ่งนั้นถึงทำให้คุณเศร้า”
    • หากคนที่คุณรักต่อต้านความคิดในการยอมรับว่าพวกเขามีปัญหา อย่าโต้เถียงกันเรื่องนั้น คุณสามารถส่งเสริมให้คนที่คุณรักหาวิธีการรักษาได้ แต่คุณไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้
  7. How.com.vn ไท: Step 7 อย่ามองข้ามความคิดหรือความรู้สึกของคนที่คุณรักว่ามัน “ไม่จริง” หรือ...
    อย่ามองข้ามความคิดหรือความรู้สึกของคนที่คุณรักว่ามัน “ไม่จริง” หรือ ไม่มีค่าพอที่จะนึกถึง. แม้ว่าความรู้สึกของความไร้ค่ามีสาเหตุมาจากช่วงภาวะซึมเศร้า แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แท้จริงแก่คนที่อยู่ในภาวะนั้น การมองข้ามความรู้สึกของคนป่วยโดยสิ้นเชิงจะส่งเสริมให้เขา/เธอไม่บอกคุณเกี่ยวกับความรู้สึกในอนาคตข้างหน้า กลับกันนั้นให้ลองตรวจสอบความรู้สึกของเขาและท้าทายความคิดแง่ลบในเวลาเดียวกันแทน
    • ตัวอย่างเช่น หากคนที่คุณรักแสดงความคิดเห็นว่าไม่มีใครรักเขา/เธอ และเธอ/เขาเป็นคน “ไม่ดี” คุณสามารถพูดบางอย่างกับเขาได้ เช่น “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างนั้นและฉันเสียใจจริงๆ ที่คุณต้องอยู่ในความรู้สึกเหล่านั้น ฉันอยากให้คุณรู้ไว้ว่าฉันรักคุณและฉันคิดว่าคุณนั้นเป็นคนใจดีและห่วงใยผู้อื่น”
  8. How.com.vn ไท: Step 8 ส่งเสริมให้คนที่คุณรักทำแบบทดสอบคัดกรอง.
    ภาวะแมเนียและซึมเศร้าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเป็นไบโพลาร์ได้ทั้งคู่ ดังนั้นเว็บไซต์ของกลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์จึงมีแบบทดสอบคัดกรองภาวะแมเนียและซึมเศร้าออนไลน์ที่รักษาความลับของผู้ทำแบบทดสอบไว้ให้ทำฟรี[39]
    • การทำแบบทดสอบที่เป็นความลับในเรื่องส่วนตัวในบ้านผู้ทำแบบทดสอบอาจเป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดของคนที่เข้าใจถึงความจำเป็นในการรักษา
  9. How.com.vn ไท: Step 9 เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ....
    เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ. โรคไบโพลาร์เป็นโรคที่รุนแรงมาก การไม่ได้รับการรักษาแม้ว่ารูปแบบของโรคจะไม่ได้รุนแรงก็สามารถทำให้อาการแย่ลงได้ ดังนั้นควรส่งเสริมให้คนที่คุณรักหาวิธีการรักษาโดยทันที[40]
    • การเข้าพบแพทย์รักษาทั่วไปมักเป็นขั้นตอนแรก[41] ซึ่งแพทย์สามารถระบุได้ว่าบุคคลนั้นควรจะต้องพบจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอื่นๆ หรือไม่
    • ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตมักจะนำเสนอวิธีการรักษาจิตบำบัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการรักษา มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหลากหลายด้านที่จะเสนอวิธีการรักษาบำบัดให้กับคุณรวมทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลจิตเวช นักสังคมสงเคราะห์และผู้ให้คำปรึกษาที่มีใบอนุญาต ลองปรึกษาหมอหรือโรงพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำสำหรับวิธีการรักษาที่อยู่ในพื้นที่ของคุณ[42]
    • หากตัดสินใจแล้วว่าการใช้ยารักษาเป็นสิ่งจำเป็น คนที่คุณรักอาจต้องเข้าพบแพทย์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยาผู้ที่มีใบอนุญาตที่สามารถจ่ายยาหรือพยาบาลจิตเวชที่มีใบสั่งยา นักสังคมสงเคราะห์และผู้ให้คำปรึกษาที่มีใบอนุญาตสามารถเสนอวิธีการรักษาบำบัดให้คุณแต่ไม่สามารถจ่ายยาได้ [43]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

การสนับสนุนคนที่คุณรัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    เข้าใจว่าโรคไบโพลาร์เป็นอาการเจ็บป่วยที่เป็นไปตลอดชีวิต. การใช้ยาร่วมกับการบำบัดเป็นผลดีต่อคนที่คุณรักอย่างมาก ผู้คนมากมายที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ต้องเจอกับการพัฒนาที่มีผลในด้านการทำงานและอารมณ์ของพวกเขา อย่างไรก็ตามไม่มี “การรักษาให้หายขาด” สำหรับโรคไบโพลาร์และอาการสามารถเกิดขึ้นอีกได้ตลอดชีวิต ดังนั้นคุณต้องอดทนกับคนที่คุณรักให้ได้
  2. How.com.vn ไท: Step 2 ลองถามว่าคุณสามารถช่วยอะไรได้บ้าง.
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่อยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า อาจรู้สึกเหมือนกับโลกนี้กำลังครอบงำคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ ลองถามดูว่ามีอะไรที่จะช่วยเหลือเขาได้บ้าง คุณสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเจาะกับเขาได้หากคุณรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีผลต่อคนที่คุณรักมากที่สุด [44]
    • ตัวอย่างเช่น คุณสามารถพูดได้ว่า “เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าคุณกำลังเครียดมากๆ เลยนะ ถ้าหากฉันช่วยดูแลลูกๆ ของคุณและให้เวลาช่วงเย็นของฉันกับคุณแทนแล้วมันพอจะช่วยคุณได้บ้างไหม?”
    • หากมีคนที่กำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ให้ลองเสนอสิ่งที่ช่วยทำให้เขาสบายใจ อย่าปฏิบัติราวกับเขาเป็นคนอ่อนแอและเข้าถึงยากเพียงเพราะเขาป่วย หากคุณสังเกตว่าคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการซึมเศร้า (ที่ถูกกล่าวถึงในส่วนอื่นๆ ของบทความนี้) ก็อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ให้พูดประมาณว่า “ฉันสังเกตเห็นว่าคุณดูรู้สึกแย่นะในสัปดาห์นี้ คุณอยากไปดูหนังกับฉันไหม?”
  3. How.com.vn ไท: Step 3 ติดตามอาการ.
    การเฝ้าติดตามอาการของคนที่คุณรักสามารถช่วยได้หลายวิธี ขั้นแรกคือสามารถช่วยให้คุณและคนที่คุณรักเรียนรู้สัญญาณเตือนของช่วงภาวะทางอารมณ์ ซึ่งสามารถช่วยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิต นอกจากนั้นยังช่วยให้คุณเรียนรู้ตัวกระตุ้นที่มีประสิทธิภาพสำหรับช่วงภาวะแมเนียหรือซึมเศร้า[45][46]
    • สัญญาณเตือนของภาวะแมเนีย ได้แก่ นอนน้อย รู้สึก “มีความสุขมาก” หรือตื่นเต้นง่าย หงุดหงิดง่ายขึ้น กระวนกระวายและระดับการทำกิจกรรมของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
    • สัญญาณเตือนของภาวะซึมเศร้า ได้แก่ ความเหนื่อยล้า รูปแบบการนอนที่ถูกรบกวน (การนอนมากขึ้นหรือน้อยลง) มีปัญหาในการตั้งใจจดจ่อหรือไม่มีสมาธิ ไม่มีความสนใจต่อสิ่งที่คนมักจะรู้สึกสนุก แยกตัวออกจากสังคมและความอยากอาหารเปลี่ยนแปลง
    • กลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์มีปฏิทินส่วนบุคคลในการติดตามอาการป่วยซึ่งอาจช่วยคุณและคนที่คุณรักได้[47]
    • สิ่งกระตุ้นของช่วงภาวะทางอารมณ์ที่พบบ่อยได้แก่ ความเครียด สารเสพติดและการอดนอน [48]
  4. How.com.vn ไท: Step 4 ถามคนที่คุณรักว่าได้กินยาหรือไม่.
    บางคนอาจได้ประโยชน์จากผู้ช่วยเตือนความจำอย่างสุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขากำลังอยู่ในช่วงภาวะแมเนียซึ่งพวกเขาอาจกินยาไม่ต่อเนื่องหรือมีอาการหลงลืม นอกจากนั้นผู้ป่วยอาจเชื่อว่าพวกเขาเองกำลังดีขึ้นจึงหยุดกินยา ลองช่วยเหลือคนที่คุณรักให้ทำตามการรักษา แต่อย่าทำเหมือนกับว่ากำลังกล่าวหาพวกเขา[49][50]
    • ตัวอย่างเช่น อาจพูดด้วยถ้อยคำที่ฟังดูสุภาพว่า “วันนี้คุณกินยาแล้วยังคะ?” อย่างนี้ก็ได้
    • หากคนที่คุณรักพูดว่าเธอ/เขากำลังรู้สึกดีขึ้น คุณอาจพบว่าเป็นเรื่องดีที่จะเตือนเขา/เธอถึงเรื่องประโยชน์ของยา เช่น “ฉันดีใจที่ได้ยินว่าคุณรู้สึกดีขึ้นนะ แต่ฉันคิดว่ายาบางส่วนกำลังทำงานอยู่จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยที่จะหยุดกินยาหากมันกำลังช่วยรักษาคุณอยู่ จริงไหม?”
    • ยาอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเริ่มทำงาน ดังนั้นควรอดทนหากอาการของคนที่คุณรักยังไม่ดีขึ้น[51]
  5. How.com.vn ไท: Step 5 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้....
    ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้. นอกจากการใช้ยาตามที่แพทย์กำหนดและการเข้าพบนักบำบัดสม่ำเสมอแล้ว การรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้นั้นสามารถช่วยลดอาการของโรคไบโพลาร์ได้ [52] คนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคอ้วน[53] ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้คนที่คุณรักกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายพอเหมาะเป็นประจำและจัดตารางการนอนหลับให้ดี
    • คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มักจะรายงานถึงพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพรวมทั้งการไม่กินอาการมื้อหลักหรือกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ[54] ดังนั้นควรส่งเสริมคนที่คุณรักให้กินอาหารประเภทผักและผลไม้สด คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ถั่ว ธัญพืชและเนื้อสัตว์และเนื้อปลาไม่ติดมันได้ให้สัดส่วนพอดีกัน [55]
      • การบริโภคกรดโอเมก้า3 อาจช่วยป้องกันอาการไบโพลาร์ได้ การศึกษาบางชิ้นแนะนำว่ากรดโอเมก้า3 โดยเฉพาะสิ่งเหล่านี้ที่พบได้ในปลาน้ำเย็นจะช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้ เช่น ปลาแซลมอนและปลาทูน่า นอกจากนั้นอาหารมังสวิรัติ เช่น วอลนัทและเมล็ดแฟลกซ์ก็เป็นแหล่งของกรดโอเมก้า3 ชั้นดีเช่นกัน[56]
      • ส่งเสริมให้คนที่คุณรักหลีกเลี่ยงการกินคาเฟอีนที่มากเกินความจำเป็น คาเฟอีนอาจก่อให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ในคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ได้[57]
    • ส่งเสริมให้คนที่คุณรักหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์. คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มา 5 ครั้งแล้วนั้นมีแนวโน้มที่จะดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารอื่นๆ มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ป่วย แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทและสามารถก่อให้เกิดช่วงภาวะซึมเศร้าได้ นอกจากนั้นมันสามารถแทรกแซงผลของยาบางตัวตามใบสั่งแพทย์ได้[58]
    • การออกกำลังกายพอเหมาะเป็นประจำโดยเฉพาะการเต้นแอโรบิคอาจช่วยพัฒนาอารมณ์ของคุณและการทำงานทั้งหมดโดยรวมของคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ให้ดีขึ้นได้[59][60][61] ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญในการส่งเสริมให้คนที่คุณรักออกกำลังกายเป็นประจำซึ่งคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มักจะรายงานถึงพฤติกรรมการออกกำลังกายที่ไม่ดีของพวกเขา[62]
  6. How.com.vn ไท: Step 6 ดูแลตัวเองด้วย.
    เพื่อนๆ และครอบครัวของคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์นั้นจะต้องแน่ใจด้วยว่าพวกเขาดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน คุณไม่สามารถช่วยเหลือคนที่คุณรักได้หากคุณหมดแรงหรือเครียด
    • การศึกษาพบว่าหากพบว่าหากคนรักมีอาการเครียด คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อาจมีอุปสรรคในการยึดหลักแบบแผนการรักษามากขึ้น ดังนั้นการดูแลตัวคุณเองโดยตรงสามารถช่วยคนที่คุณรักได้เช่นกัน[63]
    • กลุ่มสนับสนุนอาจช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะรับมือกับอาการป่วยของคนที่คุณรัก กลุ่มที่ให้การสนับสนุนโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์อาจเสนอแนะกลุ่มสนับสนุนออนไลน์[64]และกลุ่มสนับสนุนกันและกันในท้องถิ่นให้กับคุณ [65] นอกจากนั้นกรมสุขภาพจิตยังมีโครงการต่างๆ มากมายหลายโครงการอีกด้วย[66]
    • ต้องแน่ใจว่าคุณได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังสม่ำเสมอ การรักษานิสัยการมีสุขภาพที่ดีอาจช่วยส่งเสริมให้คนที่คุณรักมีสุขภาพดีได้เช่นกัน[67]
    • จัดการลดความเครียดของคุณ คุณต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและขอให้คนอื่นช่วยเมื่อจำเป็น คุณอาจพบว่ากิจกรรมต่างๆ เช่น การทำสมาธิหรือโยคะสามารถช่วยลดความกังวลได้
  7. How.com.vn ไท: Step 7 จับตาดูความคิดหรือการกระทำที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย....
    จับตาดูความคิดหรือการกระทำที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย. การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากสำหรับคนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มีแนวโน้มที่จะนึกคิดหรือพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้า หากคนที่คุณรักพูดถึงการฆ่าตัวตายแม้จะพูดโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ให้คุณขอความช่วยเหลือโดยทันที อย่าสัญญาว่าจะเก็บความคิดหรือการกระทำเหล่านี้ไว้เป็นความลับ[68][69]
    • หากคนป่วยตกอยู่ในอันตรายอย่างฉับพลัน ให้โทรแจ้ง 191 หรือหน่วยให้บริการฉุกเฉินได้ที่ 1669 [70]
    • แนะนำให้คนที่คุณรักโทรหา 1667 เพื่อติดต่อหน่วยบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินการป้องกันการฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิต[71]
    • สร้างความมั่นใจให้กับคนที่คุณรักว่าคุณรักเขา/เธอและคุณเชื่อว่าชีวิตของเธอ/เขามีความหมาย แม้มันอาจดูไม่เหมือนกับว่าเป็นวิธีที่เข้าถึงคนป่วยได้ขณะนี้
    • อย่าห้ามความรู้สึกของคนที่คุณรัก ความรู้สึกเป็นความแท้จริงและเธอ/เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ให้ลองมุ่งความสนใจไปที่การกระทำที่เขาสามารถควบคุมได้แทน เช่น “ฉันบอกได้ว่าสิ่งนี้มันยากสำหรับคุณและฉันยินดีหากคุณจะคุยกับฉันเกี่ยวกับมัน พูดต่อไปเถอะ ฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อคุณเอง”
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • โรคไบโพลาร์เหมือนกับอาการป่วยทางจิตอื่นๆ คือไม่ใช่ความผิดของใคร ไม่ใช่ความผิดของคนที่คุณรักหรือของคุณเองเลย ดังนั้นจงเกื้อกูลและเห็นอกเห็นใจต่อคนที่คุณรักและตัวคุณเอง
  • อย่าจัดการทำทุกๆ อย่างเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าไปจัดการกับคนที่คุณรักด้วยความอ่อนโยนและระมัดระวังหรือการจัดการทำทุกๆ อย่างเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของคนที่คุณรัก จำไว้ว่าเขาเป็นอะไรได้มากกว่าป่วย เธอ/เขามีงานอดิเรก ความชอบและความรู้สึกเหมือนกัน ดังนั้นขอให้สนุกไปกับมันและส่งเสริมคนที่คุณรักให้ได้ใช้ชีวิต
โฆษณา

คำเตือน

  • ผู้ป่วยเป็นไบโพลาร์มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูง หากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวกำลังมีอยู่ในภาวะนี้และเริ่มพูดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายแล้ว ให้พาพวกเขามาอย่างจริงจังและให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการดูแลทางจิตเวชทันที
  • หากเป็นไปได้ในภาวะฉุกเฉินนี้ ให้คุณพยายามโทรหาผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพหรือหน่วยบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินการป้องกันการฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิตก่อนที่จะติดต่อตำรวจ เคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งการแทรกแซงของตำรวจในกรณีของคนที่ประสบกับภาวะวิกฤติทางจิตนั้นอาจมีผลให้เกิดความบอบช้ำทางจิตใจและการตายได้ ถ้าเป็นไปได้ให้ติดต่อบางคนที่คุณมั่นใจว่ามีความชำนาญและได้รับการฝึกฝนในการจัดการกับสุขภาพจิตหรือวิกฤติการณ์ทางจิตเวชได้[72][73][74]
โฆษณา
  1. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-disorder-forms
  2. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-disorder-forms
  3. http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml?rf#pub3
  4. http://www.psychiatry.org/bipolar-disorder
  5. http://www2.nami.org/factsheets/bipolardisorder_factsheet.pdf
  6. http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-easy-to-read/index.shtml#pub5
  7. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145404
  8. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/bipolar-disorder/basics/symptoms/con-20027544
  9. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
  10. http://psychcentral.com/lib/recommended-books-on-bipolar/0001374
  11. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145402
  12. https://www.facebook.com/better2get
  13. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_bipolar
  14. http://www.dbsalliance.org/pdfs/mythsfinal.pdf
  15. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145402
  16. http://www.dbsalliance.org/pdfs/mythsfinal.pdf
  17. http://psychcentral.com/blog/archives/2012/11/07/5-persistent-myths-about-bipolar-disorder/
  18. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/features/8-myths-about-bipolar-disorder
  19. http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/sep/23/bipolar-disorder-joy-10-things-you-should-never-say-to-someone-with-bipolar-disorder
  20. http://www.bipolar-lives.com/famous-bipolar-people.html
  21. http://www2.nami.org/Content/ContentGroups/Home4/Home_Page_Spotlights/Spotlight_1/True_or_False_The_Top_10_Myths_About_Bipolar_Disorder.htm
  22. http://ccpweb.wustl.edu/pdfs/2013_defdes.pdf
  23. http://www.dbsalliance.org/pdfs/mythsfinal.pdf
  24. http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/sep/23/bipolar-disorder-joy-10-things-you-should-never-say-to-someone-with-bipolar-disorder
  25. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_bipolar_types
  26. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
  27. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
  28. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
  29. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/helping-loved-one-with-bipolar
  30. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_screeningcenter
  31. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145404
  32. http://newsinhealth.nih.gov/issue/May2010/Feature1
  33. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mental-illness/in-depth/mental-health-providers/ART-20045530?p=1
  34. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mental-illness/in-depth/mental-health-providers/ART-20045530?p=1
  35. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/helping-loved-one-with-bipolar
  36. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_brochures_helping_friend_family
  37. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
  38. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=wellness_personal_calendar
  39. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/bipolar-disorder-signs-and-symptoms.htm
  40. http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/sep/23/bipolar-disorder-joy-10-things-you-should-never-say-to-someone-with-bipolar-disorder
  41. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/helping-a-loved-one-with-bipolar-disorder.htm
  42. http://newsinhealth.nih.gov/issue/May2010/Feature1
  43. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/features/8-myths-about-bipolar-disorder?page=4
  44. http://link.springer.com/article/10.1007/s12017-009-8079-9
  45. http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1399-5618.2007.00386.x/abstract;jsessionid=4A4EC02F47D73D2D0F1E8ACB064AA0B1.f04t02?deniedAccessCustomisedMessage=&userIsAuthenticated=false
  46. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid
  47. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid?page=2
  48. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid?page=2
  49. http://www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/bipolar-diet-foods-to-avoid?page=3
  50. http://europepmc.org/abstract/med/20051706
  51. http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0165032706004927
  52. http://link.springer.com/article/10.1007/s12017-009-8079-9
  53. http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1399-5618.2007.00386.x/abstract;jsessionid=4A4EC02F47D73D2D0F1E8ACB064AA0B1.f04t02?deniedAccessCustomisedMessage=&userIsAuthenticated=false
  54. http://www.nimh.nih.gov/health/publications/bipolar-disorder-in-adults/index.shtml?rf#pub11
  55. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=peer_OSG
  56. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=peer_support_group_locator
  57. http://www.nami.org/Find-Support/NAMI-Programs
  58. https://caregiver.org/taking-care-you-self-care-family-caregivers
  59. http://www.nimh.nih.gov/health/topics/bipolar-disorder/index.shtml#part_145407
  60. http://www.helpguide.org/articles/bipolar-disorder/bipolar-disorder-signs-and-symptoms.htm
  61. http://www.dbsalliance.org/site/PageServer?pagename=education_brochures_helping_friend_family
  62. http://www.suicidepreventionlifeline.org/gethelp/someone.aspx
  63. The Washington Post: Distraught People, Deadly Results - Officers often lack the training to approach the mentally unstable, experts say (USA)
  64. Center for Public Representation on patterns of police violence against people with psychiatric disabilities
  65. Police Brutality's Hidden Victims: The Disabled

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

How.com.vn ไท: Catherine Boswell, PhD
ร่วมเขียน โดย:
นักจิตวิทยาที่มีใบอนุญาต
บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Catherine Boswell, PhD. ดร. แคทเธอรีน บอสเวลล์ เป็นนักจิตวิทยาที่มีใบอนุญาตและเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Psynergy Psychological Associates ซึ่งเป็นสถานบำบัดเอกชนในเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ดร.บอสเวลล์เชี่ยวชาญในการรักษาบุคคล กลุ่ม คู่รัก และครอบครัวที่ต้องต่อสู้กับปัญหาด้านความบอบช้ำทางจิตใจ ความสัมพันธ์ ความเศร้าโศก และความเจ็บปวดเรื้อรัง เธอได้รับปริญญาเอกด้านจิตวิทยาการให้คำปรึกษาจากมหาวิทยาลัยฮุสตัน ดร.บอสเวลล์เคยสอนหลักสูตรให้กับนักศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮุสตัน เธอยังเป็นนักเขียน นักพูด และโค้ชอีกด้วย บทความนี้ถูกเข้าชม 20,060 ครั้ง
มีการเข้าถึงหน้านี้ 20,060 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

⚠️ Disclaimer:

Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.

Notices:
  • - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
  • - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
  • - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
  • - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.

โฆษณา