วิธีการ บรรเทาอาการปวดจากเล็บขบ

ดาวน์โหลดบทความ

ดาวน์โหลดบทความ

ภายในบทความนี้:

สังเกตอาการเล็บขบ

รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ

ดูแลให้เล็บหายเร็วๆ

หาหมอ

ป้องกันเล็บขบ

แสดงเพิ่มอีก 2...

แสดงน้อยลง...

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้ออ้างอิง

เล็บขบที่เท้า (ingrown toe nail) เกิดได้เมื่อเล็บเท้ายาวแล้วจิกลงไปในเนื้อรอบๆ เล็บ เล็บขบแล้วนิ้วเท้าจะปวด บวม เดินไม่สะดวก โดยเฉพาะตอนใส่รองเท้า โชคดีที่บทความวิกิฮาวนี้มีวิธีบรรเทาอาการปวดจากเล็บขบมาฝากกัน รับรองจะรู้สึกสบายขึ้นระหว่างรอให้นิ้วเท้าหายดี

ขั้นตอน

วิธีการ 1

วิธีการ 1 ของ 5:

สังเกตอาการเล็บขบ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   สังเกตว่านิ้วเท้าบวมหรือเปล่า. เล็บขบมักทำให้เนื้อข้างๆ เล็บบวมตุ่ยขึ้นมา ลองสังเกตแล้วเปรียบเทียบลักษณะของนิ้วที่น่าจะเป็นเล็บขบกับนิ้วอื่นๆ ดู ว่าบวมผิดสังเกตหรือเปล่า?
2. 
   2
   จับๆ ดูว่าเจ็บหรือไวต่อความรู้สึกกว่าปกติไหม. เนื้อรอบๆ เล็บนั้นจะกดเจ็บ หรือแค่แตะก็ปวด ให้เอานิ้วกดเบาๆ แถวๆ นั้น จะได้รู้ว่าเจ็บตรงไหน ตรงไหนไม่เจ็บ หรือจะเอากรรไกรมาตัดเล็บก็ได้

   • เล็บขบบางทีก็มีหนองนิดหน่อยด้วย
3. 
   3
   ดูว่าเล็บอยู่ตรงไหน. พอเล็บขบแล้ว เนื้อรอบๆ ขอบเล็บมักบวมจนหาขอบเล็บไม่ค่อยเจอ หรือดูเหมือนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อข้างๆ เลยทำให้หามุมของเล็บด้านบนได้ยาก
4. 
   4
   มีโรคประจำตัวหรือเปล่า. ปกติคนเป็นเล็บขบก็รักษาดูแลตัวเองจนหายดีได้ แต่ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวานหรือโรคประจำตัวอื่นๆ ที่ทำให้ปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) หรือเส้นประสาทเสียหาย ก็ไม่ควรตัดเล็บขบด้วยตัวเอง แนะนำให้นัดคุณหมอโรคเท้าหรือคุณหมอประจำตัวโดยด่วน

   • ถ้าเส้นประสาทที่เท้าเสียหายหรือเลือดไม่ค่อยไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณขาหรือเท้า คุณหมอจะเป็นห่วงเรื่องเล็บขบมาก เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย
5. 
   5
   ปรึกษาคุณหมอ. ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวเองเล็บขบหรือเปล่า ไปหาหมอจะดีที่สุด จะได้ตรวจหาสาเหตุแล้วรักษาได้ตรงจุด

   • ถ้าอาการค่อนข้างหนัก คุณหมอจะโอนเคสต่อไปยังคุณหมอโรคเท้า (podiatrist) โดยเฉพาะ
6. 
   6
   อย่าปล่อยไว้จนอาการหนัก. ถ้าแน่ใจว่าเล็บขบ ก็ต้องหาวิธีรักษาโดยด่วน ไม่งั้นจะเสี่ยงติดเชื้อหรือเกิดโรคอื่นๆ ที่รุนแรงกว่าตามมา

   • ถ้าเล็บขบมานานเกิน 2 - 3 วัน หาหมอจะดีกว่า
   โฆษณา

วิธีการ 2

วิธีการ 2 ของ 5:

รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   แช่เท้าในน้ำอุ่น. ให้ใช้กะละมังหรืออ่างอาบน้ำก็ได้ แช่เท้าแล้วช่วยบรรเทาอาการปวดบวม กดเจ็บ แนะนำให้แช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 15 นาที และแช่ซ้ำวันละ 3 - 4 ครั้ง

   • ผสมดีเกลือฝรั่ง (Epsom salts) ในน้ำด้วย เพราะเป็นที่รู้กันดีเรื่องสรรพคุณลดอาการปวดบวม แถมช่วยให้เล็บเท้านิ่มขึ้น ให้ผสมดีเกลือฝรั่ง 1 ถ้วยตวงในกะละมังหรืออ่างอาบน้ำที่มีน้ำอุ่นสูงประมาณ 2 - 3 นิ้ว
   • ถ้าไม่มีดีเกลือฝรั่ง จะใช้เกลือธรรมดาก็ได้ น้ำเกลือจะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบริเวณที่มีอาการได้ด้วย
   • ค่อยๆ นวดบริเวณที่เล็บขบ น้ำจะได้ซึมเข้าไปบริเวณนั้น ช่วยชะเอาแบคทีเรียออกมา ลดปวดบวมได้
2. 
   2
   ใช้สำลีแผ่นหรือไหมขัดฟันสอดยกขอบเล็บขึ้น. พอแช่เท้าแล้ว เล็บจะนิ่มขึ้นเยอะ ให้ค่อยๆ สอดไหมขัดฟันสะอาดๆ เข้าไปใต้ขอบเล็บ แล้วรั้งขอบเล็บให้เผยอขึ้นมาเบาๆ เล็บจะได้ไม่งอกจิกเข้าไปในเนื้อมากไปกว่านี้

   • ทุกครั้งที่แช่เท้าให้ทำแบบนี้ โดยเปลี่ยนไหมขัดฟันเส้นใหม่ทุกครั้ง
   • อันนี้แล้วแต่ว่าเล็บขบมากขนาดไหน บางทีทำแล้วก็เจ็บหน่อย จะกินยาแก้ปวดบรรเทาอาการด้วยก็ได้
   • อย่าจิกหรือควักเข้าไปในเล็บหรือเนื้อมากเกินไป เพราะอาจติดเชื้อได้ ทีนี้ก็ต้องไปหาหมอต่อไป
3. 
   3
   กินยาแก้ปวด. ซื้อยาแก้ปวดจากร้านขายยามากินเองได้เลย จะช่วยบรรเทาอาการปวดบวมไม่สบายเท้าได้ ให้กินยา NSAIDs (non-steroidal anti-inflammatory drugs) เช่น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน หรือแอสไพริน ยากลุ่ม NSAID จะช่วยแก้ปวดแก้อักเสบได้

   • ถ้าแพ้ยากลุ่ม NSAIDs ให้เปลี่ยนไปกินยา acetaminophen แทน
4. 
   4
   ลองทาครีมยาปฏิชีวนะ. ยาปฏิชีวนะแบบทาจะช่วยแก้อักเสบได้ เป็นครีมที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป

   • ครีมยาปฏิชีวนะบางตัวก็เป็นยาชาเฉพาะที่ เช่น lidocaine ทาแล้วก็ช่วยแก้ปวดได้ชั่วคราว
   • ต้องใช้ยาตามคำแนะนำที่ฉลากอย่างเคร่งครัด
5. 
   5
   พันนิ้วเท้าป้องกันเชื้อโรค. เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วเท้าติดเชื้อหรือถุงเท้ามาเกี่ยวติดได้ ให้ใช้ผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์พันรอบนิ้วเท้าไว้
6. 
   6
   สวมรองเท้าหลวมๆ หรือรองเท้าแตะเปิดนิ้ว. ถ้าใส่รองเท้าหัวเปิด รองเท้าแตะ รองเท้าสาน หรือรองเท้าอื่นที่หลวมๆ บริเวณเท้าจะระบายอากาศได้ดี

   • รองเท้าคับๆ ใส่แล้วมักทำให้เล็บขบหรือถ้าเป็นอยู่ก็อาการหนักกว่าเดิม
7. 
   7
   ลองรักษาแบบ homeopathy. homeopathy เป็นการแพทย์ทางเลือก เน้นรักษาโรคต่างๆ ด้วยสมุนไพรและวัตถุดิบอื่นๆ จากธรรมชาติ ถ้าอยากแก้อาการปวดจากเล็บขบแบบ homeopathy แนะนำให้ใช้

   • Silicea Terra, Teucrium, กรดไนตริก, กราไฟต์, Magnetis Polus Australis, กรดฟอสฟอริก, Thuja, Causticum, Natrum Mur, อลูมินา หรือ Kali Carb
   โฆษณา

วิธีการ 3

วิธีการ 3 ของ 5:

ดูแลให้เล็บหายเร็วๆ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   แช่เท้าประมาณ 15 นาที. ให้ผสมดีเกลือฝรั่งในน้ำอุ่น แล้วใช้แช่เท้าประมาณ 15 นาที จะช่วยให้เล็บนิ่มขึ้น ยกให้เผยอห่างจากเนื้อรอบเล็บได้ง่ายขึ้นเยอะ
2. 
   2
   ดึงให้เล็บเผยอขึ้นไม่จิกเนื้อ. ค่อยๆ อ้าเนื้อรอบเล็บเท้า เพื่อแยกเนื้อออกจากเล็บ ให้คุณเห็นขอบเล็บสะดวก จากนั้นสอดไหมขัดฟันหรือปลายแหลมของตะไบเข้าไปยกขอบเล็บให้เผยอขึ้น ไม่จิกเนื้อ อาจจะต้องเริ่มแซะจากข้างเล็บที่ไม่ได้จิกลงไปในเนื้อก่อน แล้วค่อยๆ ขยับไหมขัดฟันหรือตะไบเล็บไปถึงจุดที่เล็บขบ

   • ต้องฆ่าเชื้อตะไบเล็บด้วยแอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ก่อนเอามาใช้
3. 
   3
   ฆ่าเชื้อที่นิ้วเท้า. พอยกเล็บให้เผยอขึ้นจากเนื้อได้แล้ว ก็ให้หยดน้ำสะอาด แอลกอฮอล์ล้างแผล หรือยาฆ่าเชื้ออื่นๆ ลงไปใต้เล็บนิดหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียก่อตัวสะสม
4. 
   4
   สอดผ้าก๊อซใต้ขอบเล็บ. ฉีกผ้าก๊อซมาชิ้นเล็กๆ แล้วสอดหนุนไว้ใต้เล็บที่เผยอขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้ขอบเล็บกลับลงไปจิกเนื้อ และยาวได้โดยไม่ขบซ้ำจนอาการหนักกว่าเดิม
5. 
   5
   แต้มครีมยาปฏิชีวนะรอบๆ เล็บ. พอสอดผ้าก๊อซแล้ว ให้แต้มครีมยาปฏิชีวนะรอบๆ เล็บนั้น ให้เลือกครีมที่ผสม lidocaine ด้วย เพราะจะทำให้ชานิดๆ แก้ปวดได้
6. 
   6
   พันนิ้วเท้า. ฉีกผ้าก๊อซมาสักแถบ แล้วพันรอบนิ้วเท้า หรือจะใช้พลาสเตอร์หรือถุงสวมนิ้วเท้าก็ได้ คือเหมือนถุงเท้าแต่ใส่เฉพาะนิ้ว แยกนิ้วที่เจ็บออกจากนิ้วอื่นๆ
7. 
   7
   ทำซ้ำตามขั้นตอนทุกวัน. เพื่อให้เล็บขบได้ฟื้นตัวจนหายดี ระหว่างรักษาตัว เล็บขบจะค่อยๆ ปวดน้อยลง เนื้อข้างๆ ที่บวมก็จะยุบลงด้วย

   • ต้องเปลี่ยนผ้าก๊อซทุกวัน แบคทีเรียจะได้ไม่ก่อตัวสะสมบริเวณเล็บเท้า
   โฆษณา

วิธีการ 4

วิธีการ 4 ของ 5:

หาหมอ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ถ้าผ่านไป 2 - 3 วันแล้วยังไม่หาย ต้องไปหาหมอ. ถ้ารักษาเองผ่านไป 2 - 3 วันแล้วเล็บขบยังไม่ดีขึ้น ให้ไปหาหมอจะดีกว่า โดยเฉพาะคนเป็นเบาหวานหรือโรคอื่นๆ ที่ทำให้เส้นประสาทเสียหาย ยิ่งต้องหาหมอหรือหมอโรคเท้าโดยด่วน

   • ถ้ามีเส้นแดงแผ่ออกมาจากนิ้วเท้า ต้องไปโรงพยาบาลทันที เพราะเป็นสัญญาณบอกอาการติดเชื้อรุนแรง
   • ถ้ามีหนองแถวเล็บเท้าก็ควรหาหมอเช่นกัน
2. 
   2
   ปรึกษาคุณหมอเรื่องอาการ. คุณหมอจะสอบถามว่าเล็บขบตั้งแต่เมื่อไหร่ เริ่มบวม แดง หรือเจ็บปวดเมื่อไหร่ และจะให้คุณอธิบายอาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย เช่น มีไข้ไหม ย้ำว่าต้องบอกคุณหมอให้ละเอียด ครบถ้วน

   • ปกติคุณหมอโรคทั่วไปก็รักษาเล็บขบให้คุณได้ แต่ถ้าเป็นเคสรุนแรง มีโรคแทรกซ้อน หรือกลับมาเป็นซ้ำเรื่อยๆ แนะนำให้ไปหาคุณหมอโรคเท้าโดยเฉพาะ (podiatrist)
3. 
   3
   คุณหมออาจสั่งยาปฏิชีวนะ. ถ้าเล็บติดเชื้อ คุณหมอจะสั่งยาปฏิชีวนะให้กินหรือทา เพื่อให้แน่ใจว่าหายติดเชื้อ และไม่มีแบคทีเรียใหม่ก่อตัวใต้เล็บ
4. 
   4
   คุณหมออาจยกเล็บให้เผยอขึ้น. ปกติคุณหมอจะพยายามรักษาโดยไม่ต้องเจาะหรือผ่า แต่จะดันให้เล็บเผยอขึ้นจากเนื้อ ถ้าทำสำเร็จก็จะสอดผ้าก๊อซหรือสำลีแผ่นเข้าไปหนุนข้างใต้ ไม่ให้จิกเนื้อเหมือนเดิม

   • คุณหมอจะแนะนำวิธีดูแลตัวเอง ให้เปลี่ยนผ้าก๊อซใหม่ทุกวัน ก็ต้องทำตามคุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด เล็บจะได้หายเร็วๆ
5. 
   5
   ปรึกษาคุณหมอเรื่องถอดเล็บแค่บางส่วน. ถ้าเล็บขบจนติดเชื้อรุนแรง หรือจิกลงไปในเนื้อลึกมาก คุณหมออาจแนะนำให้ถอดเล็บแค่บางส่วน โดยมีการฉีดยาชาเฉพาะที่ แล้วกรีดตามขอบเล็บเพื่อถอดเอาส่วนที่จิกลึกลงไปในเนื้อออกไป

   • เล็บจะยาวกลับมาเหมือนเดิมใน 2 - 4 เดือน บางคนก็กังวลเรื่องเล็บไม่สวยหลังถอดเล็บออกไปบางส่วน แต่บอกเลยว่าถ้าไม่รักษา อาจจะเล็บเน่า น่าเกลียดกว่าเดิมเยอะ
   • แค่ฟังว่าต้องถอดเล็บก็เหมือนจะเป็นลม แต่จริงๆ แล้วก็เป็นการกรีดเล็บออกไปบางส่วนเพื่อระบายความดันข้างใต้ ลดการระคายเคือง บรรเทาอาการเจ็บปวดจากเล็บขบ
6. 
   6
   ถอดเล็บบางส่วนแบบถาวร. ถ้าเล็บขบที่เดิมซ้ำๆ เป็นประจำ คุณหมออาจพิจารณารักษาแบบถาวร คือผ่าเอาเล็บบางส่วนออกไปจนถึงหน้าเล็บข้างใต้ เพื่อไม่ให้เล็บงอกกลับมาบริเวณนั้นได้อีก

   • เป็นขั้นตอนที่ผ่าด้วยเลเซอร์ ใช้สารเคมี ใช้กระแสไฟฟ้า หรือผ่าด้วยวิธีอื่นๆ
   โฆษณา

วิธีการ 5

วิธีการ 5 ของ 5:

ป้องกันเล็บขบ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ตัดเล็บให้ถูกวิธี. ที่เล็บขบมักเป็นเพราะคุณตัดเล็บผิดวิธี แนะนำให้ตัดเล็บตรงๆ ไม่ต้องโค้งเข้ามุมตามรูปเล็บ

   • ฆ่าเชื้อกรรไกรตัดเล็บก่อน
   • อย่าตัดเล็บสั้นเกินไป แนะนำให้เหลือเล็บขาวๆ ไว้ยาวขึ้นหน่อย จะได้แน่ใจว่าเล็บยาวแล้วไม่จิกเข้าไปในเนื้อ
2. 
   2
   หาหมอโรคเท้า. ถ้าตัดเล็บเท้าเองไม่สะดวก แนะนำให้ไปพบคุณหมอโรคเท้าเพื่อรักษาเล็บขบ ทั้งตามคลินิกและโรงพยาบาล หรือจะให้คุณหมอประจำตัวแนะนำ โอนเคสให้ก็ได้ ไม่ก็แวะร้านทำเล็บที่สะอาดๆ ให้เขาช่วยตัดเล็บให้เป็นประจำ
3. 
   3
   อย่าใส่รองเท้าคับๆ. ถ้าหัวรองเท้าบีบนิ้ว ก็เสี่ยงเกิดเล็บขบได้ง่ายมาก ด้านข้างของรองเท้าอาจบีบรัดกดทับนิ้วเท้า จนเล็บยาวได้ไม่สะดวก เกิดเล็บขบในที่สุด
4. 
   4
   ปกป้องเท้า. ถ้าต้องทำกิจกรรมที่อาจทำเท้าหรือนิ้วเท้าบาดเจ็บได้ ก็ต้องสวมรองเท้าที่ปกป้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก ในกรณีที่ทำงานตามไซต์ก่อสร้าง
5. 
   5
   ถ้าเป็นเบาหวานต้องให้คุณหมอตัดเล็บให้. คนที่เป็นเบาหวานมักเกิดอาการชาที่เท้า ถ้าตัดเล็บเอง อาจจะเผลอตัดโดนเนื้อโดยไม่รู้ตัว แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางด้านเท้า หรือเข้าร้านทำเล็บที่ใหญ่และสะอาดหน่อยจะดีกว่า

   • ถ้าเป็นเบาหวานหรือโรคอื่นๆ ที่กระทบต่อเส้นประสาท แนะนำให้ตรวจรักษากับคุณหมอโรคเท้าตามนัดอย่าได้ขาด
   โฆษณา