บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Zora Degrandpre, ND. ดร.เดกรองด์เปรเป็นแพทย์แนวธรรมชาติบำบัดที่มีใบอนุญาตในวอชิงตัน เธอได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยแห่งยาธรรมชาติแห่งชาติในปี 2007
มีการอ้างอิง 9 ข้อที่อ้างอิงอยู่ในบทความ ซึ่งสามารถพบได้ทางด้านล่างของบทความ
บทความนี้ถูกเข้าชม 12,706 ครั้ง
การไอเป็นวิธีที่ร่างกายใช้กำจัดเสมหะและสิ่งแปลกปลอมจากปอดกับท่อหายใจส่วนบน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจำไว้ในเวลาที่เกิดไอขึ้นมา เพราะคุณไม่จำเป็นต้องไปสะกดห้ามมันเอาไว้ แน่ละว่าคุณอยากช่วยผ่อนร่างกายบ้างถ้าไอไม่ยอมหยุด แต่ก็ยังควรต้องให้ได้ไอบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้กำจัดเสมหะที่ก่อตัวขึ้นออกไป ในการที่จะบรรเทาอาการอึดอัดทั้งหลายที่มาพร้อมกับการไอโดยไม่ได้ห้ามการไออย่างสิ้นเชิงนั้น ให้ลองพิจารณาเรื่องการยาแก้ไอเองที่บ้าน
ขั้นตอน
- ทำยาแก้ไอน้ำผึ้งผสมมะนาวเลม่อน. อุ่นน้ำผึ้งหนึ่งถ้วยโดยใช้ความร้อนระดับต่ำ เติมน้ำมะนาวเลม่อนคั้นสด 3-4 ช้อนโต๊ะลงไปในน้ำผึ้งอุ่นๆ นั้น เติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วยลงไปในส่วนผสม แล้วคนให้เข้ากันโดยที่ยังตั้งไฟอุ่น นำส่วนผสมไปแช่เย็น เวลาต้องการยาแก้ไอ ให้ใช้ 1-2 ช้อนโต๊ะตามที่ต้องการ
- แนะนำให้ใช้น้ำผึ้งที่มีคุณสมบัติเป็นยา เช่น น้ำผึ้งมานูก้าจากนิวซีแลนด์ แต่น้ำผึ้งจากธรรมชาติใดๆ ก็มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียกับต่อต้านไวรัสเหมือนๆ กัน[1]
- น้ำมะนาวเลม่อนมีวิตามินซีอยู่สูง น้ำมะนาวเลม่อน 1 ผลนั้นมีปริมาณวิตามินซีถึง 51% จากปริมาณทั้งหมดที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวันเลยทีเดียว น้ำมะนาวเลม่อนยังมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียกับต่อต้านไวรัสด้วย[2] เชื่อกันว่าการผสานกันระหว่างวิตามินซีกับคุณสมบัติต่อต้านจุลชีพเหล่านี้ทำให้เลม่อนมีประโยชน์สำหรับการแก้ไอ[3]
- อย่าให้น้ำผึ้งแก่เด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือน มีความเสี่ยงไม่น้อยที่เด็กจะติดเชื้อโบทูลิสซึ่มจากพิษของแบคทีเรียที่บางครั้งพบในน้ำผึ้ง ทุกปีจะมีกรณีการเป็นโรคโบทูลิสซึ่มในทารกไม่ต่ำกว่า 100 ราย และเด็กส่วนใหญ่ได้รับการรักษาจนหาย แต่อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า![4]
- ใช้วิธีทางเลือกในการทำยาแก้ไอน้ำผึ้งผสมมะนาว. หั่นมะนาวเลม่อนทั้งใบที่ล้างสะอาดแล้วเป็นแว่นบางๆ (เก็บทั้งเปลือกกับเมล็ดเอาไว้) ใส่มะนาวหั่นแว่นนั้นลงในน้ำผึ้งหนึ่งถ้วย อุ่นด้วยความร้อนระดับต่ำประมาณ 10 นาทีโดยคนอยู่เรื่อยๆ
- กระทุ้งมะนาวหั่นแว่นไปด้วยในระหว่างที่คน
- หลังจากอุ่นเสร็จ ให้กรองส่วนผสมเพื่อแยกกากมะนาวออกแล้วนำไปแช่เย็น
- ลองเติมกระเทียมเข้าไปในยาน้ำผึ้งผสมมะนาว. กระเทียมมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย ต่อต้านไวรัส ต่อต้านปรสิต และต่อต้านเชื้อรา[5] ปอกเปลือกกระเทียม 2-3 กลีบแล้วหั่นจนละเอียด เติมลงไปในส่วนผสมน้ำผึ้ง-มะนาวก่อนที่คุณจะเติมน้ำ อุ่นในความร้อนระดับต่ำประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วยลงในส่วนผสมแล้วคนต่อในขณะที่ยังอุ่นในความร้อนต่ำ
- นำส่วนผสมเข้าแช่เย็น. เวลาต้องการใช้ ก็ใช้ 1-2 ช้อนโต๊ะตามที่ต้องการ
- ลองคิดถึงการเติมขิงลงไปในยาแก้ไอน้ำผึ้งผสมมะนาว. ขิงมักจะถูกใช้เพื่อให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นและใช้รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน แต่เดิมมันเคยถูกใช้เป็นยาขับเสมหะด้วย มันจะช่วยบรรเทาอาการไอโดยทำให้น้ำมูกใสขึ้นและเสมหะเบาบางลง ทั้งยังช่วยให้หลอดลมโล่งขึ้น[6]
- ตัดและปอกเปลือกหัวขิงสดประมาณ 1.5 นิ้ว ขูดให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปในส่วนผสมน้ำผึ้งมะนาวก่อนเติมน้ำ ตั้งไฟอุ่นสัก 10 นาที จากนั้นค่อยเติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วย คนทั้งหมดให้เข้ากันแล้วนำไปเข้าตู้เย็น
- แช่ส่วนผสมให้เย็น
- เวลาต้องการยาแก้ไอ ให้ใช้ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- ลองเติมชะเอมลงไปในยาแก้ไอน้ำผึ้งผสมมะนาว. ชะเอมก็เป็นยาขับเสมหะเช่นกัน มันจะเป็นตัวกระตุ้นระดับเบา จึงช่วยสร้างเสมหะและทำให้ขจัดออกจากปอดได้ง่าย[7]
- เติมน้ำมันหอมสกัดชะเอม (Glycyrrhiza glabra) 3-5 หยด หรือรากชะเอมแห้ง 1 ช้อนชาลงในส่วนผสมน้ำผึ้งมะนาวก่อนเติมน้ำ ตั้งไฟอุ่นสัก 10 นาที จากนั้นค่อยเติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วยในขณะที่ยังคงอุ่นไฟต่ำไปเรื่อยๆ
- นำส่วนผสมไปแช่เย็น ใช้คราวละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- ใช้กลีเซอรีนเป็นตัวเลือกแทนน้ำผึ้ง. ถ้าคุณไม่มี ไม่ชอบ หรือไม่สามารถใช้น้ำผึ้งได้ ให้ใช้กลีเซอรีนแทน อุ่นกลีเซอรีน ½ ถ้วยกับน้ำ ½ ถ้วยด้วยไฟต่ำ จากนั้นเติมน้ำมะนาวเลม่อนลงไปในส่วนผสม 3-4 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำอีก ¼ ถึง ⅓ ถ้วยลงในส่วนผสมกลีเซอรีน-เลม่อนและคนในขณะที่ยังอุ่นด้วยไฟต่ำ แช่ส่วนผสมให้เย็น เมื่อต้องการยาแก้ไอ ใช้คราวละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- ตามมาตรฐานขององค์กรอาหารและยานั้น กลีเซอรีนมีสถานะ “ปกติแล้วจะปลอดภัย” (GRAS) กลีเซอรีนบริสุทธิ์นั้นจะไม่มีสีและเป็นผลิตผลจากพืชที่มีรสหวานซึ่งจะถูกใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคและผลิตภัณฑ์ดูแลตนเอง[8]
- เพราะกลีเซอรีนมีคุณสมบัติดูดความชื้น มันจึงมีประโยชน์ในการลดอาการบวมในลำคอถ้าใช้ในปริมาณแต่น้อย
- คุณควรใช้กลีเซอรีนจากธรรมชาติ (และไม่ใช่กลีเซอรีนสังเคราะห์หรือที่อยู่ในรูปแบบที่คนทำขึ้นมา)
- พึงตระหนักด้วยว่ากลีเซอรีนนั้นถูกใช้รักษาอาการท้องผูกด้วย ดังนั้นถ้ามีปัญหาท้องเสียควบคู่ด้วย ให้ลดปริมาณของกลีเซอรีนที่ใช้ลง (กลีเซอรีน ¼ ถ้วยกับน้ำ ¾ ถ้วยในสูตรพื้นฐาน)
- การบริโภคกลีเซอรีนเกินไปหรือติดต่อกันนานจะทำให้ระดับน้ำตาลกับไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้น[9]
โฆษณา
- เข้าใจในสาเหตุที่เป็นไปได้ของการไอ. ปกติการไอที่รุนแรงจะเกิดจาก: หวัดธรรมดา, ไข้หวัดใหญ่, โรคปอดบวม (ปอดติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา), การแพ้สารเคมี และโรคไอกรน (มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอดอย่างรุนแรง) สาเหตุทั่วไปของการไอเรื้อรังคือ: ปฏิกิริยาภูมิแพ้, โรคหอบหืด, โรคหลอดลมอักเสบ, โรคกรดไหลย้อน และเสมหะไหลลงคอ (เสมหะไหลลงไปในลำคอจากการเป็นไซนัสทำให้เกิดระคายเคืองที่ร่างกายทำปฏิกิริยาไอออกมาโดยอัตโนมัติ
- ยังมีสาเหตุของการไอที่พบได้น้อยกว่า เช่น อาการผิดปกติที่ปอดแบบอื่นๆ อย่าง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการหลอดลมและถุงลมโป่งพองเรื้อรัง[10]
- อาการไอยังอาจมาจากผลข้างเคียงของการใช้ยา โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE (angiotensin-converting enzyme)[11]
- การไออาจเป็นผลข้างเคียงของอาการป่วยอื่นๆ เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบอย่างรุนแรงหรือเรื้อรัง โรคหัวใจล้มเหลว และวัณโรค
- ตัดสินใจว่าคุณควรไปพบแพทย์จากการไอหรือไม่. ลองใช้การรักษาตัวเองที่บ้านดูสัก 1-2 สัปดาห์ สำหรับอาการไอส่วนใหญ่แล้วน่าจะเพียงพอต่อการทุเลาอาการลงแล้ว กระนั้น ถ้าอาการไม่ได้ดีขึ้นหลัง 1-2 สัปดาห์ ให้ทำการนัดพบแพทย์สำหรับการตรวจเต็มรูปแบบ[12]
- นอกจากนี้ ยังควรต้องนัดพบแพทย์ถ้าหากในระหว่าง 1-2 สัปดาห์แรกนั้น คุณมีอาการ: มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง, ไอโดยมีเสมหะข้นสีเขียวออกมา (มันอาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคปอดติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงได้), ไอโดยมีเศษเสมหะที่มีเลือดสีแดงหรือชมพูปนออกมาด้วย, อาเจียน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคราบอาเจียนนั้นดูเหมือนกาแฟบด นั่นอาจบ่งชี้ว่ามีฝีที่กำลังเลือดออก), กลืนอะไรลำบาก, หายใจลำบาก หรือหายใจฟืดฟาดหรือรู้สึกหายใจไม่ทัน
- ประเมินว่าเด็กจำเป็นต้องไปพบแพทย์เมื่อไอหรือไม่. มันมีอาการป่วยบางอย่างที่เด็กจะอาการหนักได้เร็วกว่าและอาการป่วยบางอย่างที่เด็กจะเกิดได้ง่ายกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณจำต้องประเมินอาการไอของเขาแตกต่างออกไป สำหรับเด็กนั้นให้คุณรีบโทรหาแพทย์ทันทีถ้าพวกเขามีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้:[13]
- มีไข้ที่สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
- ไอออกมาในลักษณะเหมือนการเห่า นี่อาจเป็นกลุ่มอาการครูพ (croup) ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสบริเวณกล่องเสียงและหลอดลม เด็กบางคนอาจมีอาการเสียงแหบพร่า ซึ่งเป็นเสียงเหมือนการผิวปากโทนเสียงสูงหรือเสียงอ้าปากพะงาบๆ หากคุณได้ยินเสียงทั้งสองแบบนี้ ให้โทรแจ้งแพทย์ทันที
- ไอชนิดฟืดฟาดหรือเหมือนเสียงท้องร้องโครกครากที่อาจฟังดูแหบพร่าหรือไม่ค่อยมีเสียง นี่อาจเป็นโรคหลอดลมอักเสบที่เกิดจากไวรัส RSC (respiratory syncytial virus)
- ไอระรัวยามที่ลูกคุณหายใจเข้า ซึ่งอาจจะเป็นโรคไอกรน
- ตัดสินใจว่าอาการไอควรต้องเข้ารับการรักษาหรือไม่. จำไว้ว่าการไอนั้นเป็นวิถีทางธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเสมหะที่เต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา และนั่นเป็นเป้าหมายที่ดี! อย่างไรก็ตาม ถ้าอาการไอนี้ทำให้คุณหรือลูกไม่ได้หลับได้นอน หรือทำให้หายใจลำบาก ก็ถึงเวลาต้องรักษามันแล้ว คุณจำต้องได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอเวลาไอ ตรงนี้แหละที่ยาแก้ไขทุกขนานมีประโยชน์
- คุณสามารถใช้ยารักษาที่ทำเองที่บ้านได้มากและบ่อยตามแต่ต้องการ พวกมันยังจะช่วยให้ไม่ขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะระบบภูมิคุ้มกันกับร่างกายจำเป็นต้องใช้ฟื้นตัว
โฆษณา
เคล็ดลับ
- ทานยาแก้ไอแบบที่คุณชอบ 2 ช้อนโต๊ะก่อนเข้านอนเพื่อช่วยให้หลับสบายและได้พักผ่อนอย่างที่คุณต้องการ
- ให้แน่ใจว่าร่างกายไม่ขาดน้ำ ดื่มน้ำในแก้วขนาด 8 ออนซ์ อย่างน้อย 8-10 แก้วทุกวัน
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3609166/
- ↑ Reichling J.,Schnitzler P., Suschke U., Saller R., Essential Oils of Aromatic Plants with Antibacterial, Antifungal, Antiviral, and Cytotoxic Properties – an Overview. Forsch Komplementmed 2009;16:79–90
- ↑ http://nutritiondata.self.com/foods-009101000000000000000-w.html?maxCount=122
- ↑ http://www.drugs.com/inactive/glycerin-448.html
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10594976
- ↑ http://www.herbaled.org/Education/Articles/cough_fs.html
- ↑ http://www.herbaled.org/Education/Articles/cough_fs.html
- ↑ http://www.drugs.com/inactive/glycerin-448.html
- ↑ http://www.drugs.com/inactive/glycerin-448.html
- ↑ http://www.mayoclinic.org/symptoms/cough/basics/causes/sym-20050846
- ↑ http://www.mayoclinic.org/symptoms/cough/basics/causes/sym-20050846
- ↑ http://www.mayoclinic.org/symptoms/cough/basics/when-to-see-doctor/sym-20050846
- ↑ http://www.parents.com/health/cough/how-bad-is-that-cough-7-bad-coughs-to-worry-about/
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.