บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Zora Degrandpre, ND. ดร.เดกรองด์เปรเป็นแพทย์แนวธรรมชาติบำบัดที่มีใบอนุญาตในวอชิงตัน เธอได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยแห่งยาธรรมชาติแห่งชาติในปี 2007
มีการอ้างอิง 19 ข้อที่อ้างอิงอยู่ในบทความ ซึ่งสามารถพบได้ทางด้านล่างของบทความ
บทความนี้ถูกเข้าชม 12,543 ครั้ง
ภาวะกรดเกิน มีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งอาการแสบร้อนกลางอก โรคเกิร์ด และโรคกรดไหลย้อน ทั้งหมดนี้มีปัญหาเดียวกันและต่างกันตรงที่มีภาวะกรดเกินเป็นบางเวลา (เช่น หลังกินอาหารเยอะๆ) กับเป็นแบบเรื้อรังหรือระยะยาว ไม่ว่าจะใช้ชื่อใด มันก็เป็นปัญหาที่ชวนอึดอัด แต่สามารถรักษาได้ค่อนข้างง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มกินยาสมุนไพร โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ขั้นตอน
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นสาเหตุ. คุณอาจจะอยากหาว่าอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดที่ทำให้คุณมีปัญหา ลองจดรายการอาหารที่คุณกินและดูว่ารู้สึกอย่างไรหลังจากกินเสร็จไปหนึ่งชั่วโมง ถ้าสิ่งที่กินไปทำให้คุณมีอาการไม่ดีก็ควรเลิกกิน [1] ของกินที่พบว่าทำให้เกิดภาวะกรดเกิน มีดังนี้
- ผลไม้รสเปรี้ยว
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ช็อกโกแลต
- มะเขือเทศ
- กระเทียมและหัวหอม
- แอลกอฮอล์
- หมายเหตุ: อาหารพวกนี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีการศึกษาเพียงพอที่จะยืนยันได้แน่นอน [2] ที่สำคัญคุณควรจะหาว่าอะไรที่ทำให้คุณมีอาการ มากกว่าที่จะหลีกเลี่ยงอาหารตามรายการดังกล่าว
- อย่าให้ท้องของคุณถูกกดทับมากเกินไป. แรงกดจะยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นจากภาวะกรดเกิน การมีแรงดันเกินจะเกิดได้เมื่อเป็นโรคไส้เลื่อนกะบังลม (การที่กระเพาะอาหารส่วนบนยื่นเข้าไปในกะบังลม) หรือเมื่อตั้งครรภ์ ท้องผูก หรือมีน้ำหนักเกิน [11]
- อย่าสวมใส่เสื้อผ้าที่บีบรัดบริเวณท้อง [12]
โฆษณา
- ดื่มชาขิง. แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าขิงช่วยรักษาอาการกรดเกินได้ แต่มันก็ดูจะช่วยบรรเทาอาการได้จริง [15] เตรียมชาขิงแบบถุง หรือถ้าจะให้ดี ใช้ขิงสดหั่นประมาณ 1 ช้อนชา แล้วเติมน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที และดื่มเวลาไหนก็ได้ระหว่างวัน แต่ควรเป็นก่อนอาหารประมาณ 20-30 นาที
- ขิงยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ด้วย ชาขิงปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ [16]
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน. แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่นอน แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการกินอาหารดึกๆ จะทำให้อาการแย่ลงได้ [17] งดกินอาหาร 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน เพื่อลดความเสี่ยงในการที่อาหารจะไปเพิ่มแรงกดบริเวณหูรูดหลอดอาหารส่วนปลายขณะคุณหลับ
- พยายามอย่าเครียด. จากงานวิจัยที่เคยมี ความเครียดจะทำให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลงสำหรับบางคน แต่ไม่ได้เป็นโดยทั่วไป [18][19] ลองคิดดูว่าสถานการณ์ใดที่จะทำให้คุณเครียดและเหน็ดเหนื่อย และลองหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้น หรือเตรียมรับมือมันด้วยวิธีการที่ไม่ทำให้เครียด
- ลองใช้สมุนไพรหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้. นี่เป็นวิธีรักษาที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ถ้าอาการกรดเกินของคุณเกี่ยวข้องกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือลำไส้อักเสบเรื้อรัง มีหลักฐานเล็กน้อยว่าวิธีนี้จะช่วยได้ แต่อย่าใช้เป็นวิธีหลักๆ
- ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ ½ แก้วระหว่างวัน แต่อย่าเกิน 1-2 แก้วต่อวัน ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- ดื่มชาเฟนเนล โดยบดเมล็ดเฟนเนล 1 ช้อนชา ใส่น้ำร้อน เพิ่มรสชาติด้วยน้ำผึ้ง และดื่มวันละ 2-3 ถ้วย ก่อนอาหารประมาณ 20 นาที เมล็ดเฟนเนลจะช่วยบรรเทาอาการและลดกรดในกระเพาะ [20]
- กินสมุนไพรสลิปเปอร์รี่เอล์ม จะดื่มหรือกินแบบเม็ดก็ได้ แบบน้ำให้ดื่มประมาณ 3-4 ออนซ์ แบบเม็ดให้ทำตามคำแนะนำในการใช้ สมุนไพรสลิปเปอร์รี่เอล์มช่วยเคลือบเนื้อเยื่อที่อักเสบและทำให้ดีขึ้น [21]
- กินสารสกัดจากรากชะเอมเทศ สารสกัดจากรากชะเอมเทศมีในรูปแบบยาเม็ดสำหรับเคี้ยว อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้ชินกับรสชาติ แต่มันช่วยรักษากระเพาะอาหารและจัดการภาวะกรดเกินได้ดีมาก สำหรับปริมาณที่ใช้ควรดูตามคำแนะนำบนฉลาก โดยทั่วไปให้กิน 2-3 เม็ด ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง[22]
- กินอาหารที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก. โปรไบโอติกเป็นพวกแบคทีเรียชนิดดีที่มักจะพบในลำไส้ของเรา อาจรวมถึงเชื้อยีสต์ แซคคาโรไมซีส บูลาได หรือแลคโตบาซิลลัส และ/หรือไบฟิโดแบคทีเรียม ทั้งหมดนี้อยู่ในลำไส้เราตามธรรมชาติ การศึกษาวิจัยพบว่ามันทำให้สุขภาพลำไส้โดยทั่วไปดีขึ้น แต่ยังไม่มีการยืนยันที่เฉพาะเจาะจงไปกว่านั้น [23]
- วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับโปรไบโอติกคือการกินนมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต
โฆษณา
- เข้าใจก่อนว่าการสูบบุหรี่ไม่ได้ทำให้อาการแย่ลง. บุหรี่เคยถูกมองว่าเป็นต้นเหตุให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลง แต่ปัจจุบันมีงานวิจัยสามชิ้นชี้ว่าเมื่อผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่ก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้น [24]
- ระมัดระวังในการทำท่าเขย่งปลายเท้า. การบำบัดด้วยท่ากายบริหารแบบเขย่งปลายเท้า เป็นเทคนิคด้านการจัดกระดูกซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่มีหลักฐานว่าการออกกำลังกายในบางรูปแบบที่ต้องมีการเคลื่อนไหวและแรงกระแทกอาจทำให้กรดไหลย้อนได้ วิธีนี้จึงอาจจะยิ่งทำให้แย่ลงมากกว่าจะช่วยให้หาย [25]
- อย่าใช้มัสตาร์ด. ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามัสตาร์ดจะช่วยแก้อาการนี้ได้
- ห้ามกินผงฟูเพื่อรักษากรดไหลย้อน. แพทย์ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ [26]โฆษณา
- รู้อาการของโรค. ก่อนจะทำการรักษาภาวะกรดเกิน ควรแน่ใจก่อนว่าคุณกำลังเป็นอะไรกันแน่ อาการของภาวะกรดเกินมีดังนี้ [27]
- แสบร้อนกลางอก
- มีรสเปรี้ยวๆ ในปาก
- ท้องอืด
- อุจจาระสีเข้มหรือสีดำ (จากการมีเลือดออกภายใน)
- เรอหรือสะอึกไม่หยุด
- คลื่นไส้
- ไอแห้ง
- กลืนลำบาก (การที่หลอดอาหารบีบตัวทำให้รู้สึกเหมือนมีอาหารติดคอ)
- ลองใช้ยารักษา. ถ้าคุณมีอาการภาวะกรดเกินเรื้อรัง กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีความกังวลใดๆ ควรไปพบแพทย์ ถ้าคุณลองใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติแล้วแต่ไม่รู้สึกดีขึ้น คุณอาจต้องใช้ยารักษา ยาจะช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารได้ ภาวะกรดเกินที่ไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบ เลือดออกในหลอดอาหาร เป็นแผล และเกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า Barrett’s esophagus ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
- ถ้าคุณกำลังใช้ยาที่อาจทำให้เกิดภาวะกรดเกิน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณในการใช้ หรือการเปลี่ยนยา
- ใช้ยาลดกรด. มันช่วยปรับสภาพกรดให้เป็นกลาง และหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยาลดกรดจะช่วยบรรเทาอาการได้ในระยะสั้น ถ้าคุณยังต้องการใช้ยาลดกรดหลังผ่านไปสองสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการใช้ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลของแร่ธาตุ กระทบต่อไต และทำให้ท้องร่วงได้
- ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ และอย่าใช้ยาเกินขนาด แม้จะเป็นยาลดกรด แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็อาจมีปัญหาได้
- ใช้ยากลุ่มยับยั้งตัวรับฮิสทามีนชนิดที่ 2 (H2 blockers). มันจะช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาไซเมทิดีน (Tagamet), ยาฟาโมทิดีน (Pepcid) และยารานิทิดีน (Zantac) มีจำหน่ายตามร้านขายยาในแบบปริมาณน้อย หรือให้แพทย์สั่งจ่ายแบบที่ปริมาณมากขึ้นได้ ถ้าคุณซื้อยากลุ่มนี้กินเอง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ ผลข้างเคียงของยากลุ่ม H2 blockers ได้แก่ [28]
- ท้องผูก
- ท้องร่วง
- เวียนศีรษะ
- ปวดศีรษะ
- เป็นลมพิษ
- คลื่นไส้หรืออาเจียน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ
- ลองใช้ยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPIs). มันจะช่วยยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะ ตัวอย่างของยากลุ่มนี้ ได้แก่ ยาอีโซเมพราโซล (Nexium), ยาแลนโซพราโซล (Prevacid), ยาโอเมพราโซล (Prilosec), ยาแพนโทพราโซล (Protonix), ยาราบีพราโซล (Aciphex), ยาเด็กซ์แลนโซพราโซล (Dexilant) และยาโอเมพราโซล โซเดียมไบคาร์บอเนต (Zegerid) [29] ถ้าคุณใช้ยากลุ่ม PPIs ที่ซื้อเอง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- ท้องผูก
- ท้องร่วง
- ปวดท้อง
- ผื่นคัน
- คลื่นไส้
โฆษณา
เคล็ดลับ
- มันมียาที่ช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนปลายแข็งแรงขึ้น เช่น ยาเบทานีคอล (Urecholine) และ ยาเมโทโคลพราไมด์ (Reglan) ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาเหล่านี้
คำเตือน
- ภาวะกรดเกินที่ไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกในหลอดอาหาร เป็นแผล และเกิดภาวะที่เรียกว่า Barrett’s esophagus ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
- การใช้ยายับยั้งการหลั่งกรด PPIs เป็นเวลานาน อาจทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคกระดูกพรุนบริเวณสะโพก ข้อมือ หรือกระดูกสันหลัง [30]
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.webmd.com/digestive-disorders/ss/slideshow-digestion-tips
- ↑ https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/gerd.html
- ↑ http://www.webmd.com/digestive-disorders/ss/slideshow-digestion-tips
- ↑ http://www.webmd.com/heartburn-gerd/news/20030523/eating-food-too-fast-speeds-heartburn
- ↑ http://www.uptodate.com/contents/acid-reflux-gastroesophageal-reflux-disease-in-adults-beyond-the-basics?view=print
- ↑ https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/gerd.html
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.exreflux.com/apples-for-acid-reflux.html
- ↑ http://www.refluxmd.com/learn/resources/2012-12-05/851/alternative-treatment-gerd
- ↑ http://www.babycentre.co.uk/a549306/heartburn-natural-remedies
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.jpsychores.com/article/S0022-3999%2805%2900208-4/abstract
- ↑ http://europepmc.org/abstract/med/8420248
- ↑ http://www.getingethealthy.com/ns/DisplayMonograph.asp?StoreID=hq0ushrk24s92nd700akhlbd34su9lub&DocID=bottomline-fennel
- ↑ http://www.getingethealthy.com/ns/DisplayMonograph.asp?StoreID=hq0ushrk24s92nd700akhlbd34su9lub&DocID=bottomline-slipperyelm
- ↑ http://www.getingethealthy.com/ns/DisplayMonograph.asp?StoreID=hq0ushrk24s92nd700akhlbd34su9lub&DocID=bottomline-licorice
- ↑ https://nccih.nih.gov/health/providers/digest/IBS-science
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://jama.jamanetwork.com/article.aspx?articleid=377776&resultclick=1
- ↑ http://depts.washington.edu/uwcoe/healthtopics/heartburn.html
- ↑ http://www.webmd.com/heartburn-gerd/guide/reflux-disease-gerd-1?page=3
- ↑ http://www.medicinenet.com/proton-pump_inhibitors/article.htm
- ↑ http://www.medicinenet.com/proton-pump_inhibitors/article.htm
- ↑ http://www.medicinenet.com/proton-pump_inhibitors/article.htm
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.