วิธีการ ป้องกันตัวจากผู้ร้าย

ดาวน์โหลดบทความ

ดาวน์โหลดบทความ

ภายในบทความนี้:

หาจังหวะโจมตีกลับ

รับมือกับภัยคุกคาม

ป้องกันตัวจากการจู่โจม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้ออ้างอิง

หลายๆ คนคงไม่อยากนำตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการใช้กำลังและความรุนแรง อย่างไรก็ตาม คุณควรเรียนรู้วิธีการป้องกันตัวไว้เพื่อให้คุณสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อเกิดถูกผู้ร้ายจู่โจมในระหว่างการวิ่งออกกำลังกาย เดินไปที่รถที่จอดไว้ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ โดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว หากคุณสามารถหาทางเกลี้ยกล่อมเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่หากเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนไม่มีเวลาหาทางคลี่คลายสถานการณ์ลงได้ ให้คุณยืนในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัว พร้อมทั้งมีสติอยู่เสมอเพื่อตั้งรับการโจมตีของผู้ร้ายและหาจังหวะโจมตีกลับในจุดอ่อนบนร่างกาย

ขั้นตอน

ส่วน 1

ส่วน 1 ของ 3:

หาจังหวะโจมตีกลับ

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ใช้เท้าหรือข้อศอกโจมตีไปที่หัวเข่าเพื่อลดความคล่องตัวของผู้ร้าย. การออกแรงเตะไปที่หัวเข่าเป็นวิธีที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ร้ายได้เป็นอย่างมากจนทำให้พวกมันไม่สามารถวิ่งตามคุณได้เร็วมากนัก และเนื่องจากหัวเข่าอยู่ในตำแหน่งเหนือจากพื้นขึ้นมาเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น ผู้ร้ายจึงไม่สามารถคว้าเท้าของคุณได้อย่างทันท่วงทีเมื่อคุณเตะไปที่หัวเข่าของพวกมัน คุณสามารถโจมตีได้ที่ด้านหน้าหัวเข่าเพื่อให้ผู้ร้ายได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือที่ด้านหลังหัวเข่าเพื่อให้พวกมันสูญเสียความมั่นคงในการทรงตัวไปชั่วขณะหนึ่ง

   • หากคุณถูกผู้ร้ายโจมตีจนล้มลงไปบนพื้น ให้คุณใช้ข้อศอกตีไปที่ด้านข้างหัวเข่าของผู้ร้ายแทน
2. 
   2
   ต่อยหรือข่วนไปที่ดวงตาของผู้ร้าย. ใช้มือข้างที่ถนัดกำหมัดให้แน่นและต่อยเข้าไปที่ดวงตาของผู้ร้าย หรือหากคุณมีเล็บที่ยาว คุณยังสามารถใช้วิธีข่วนไปที่ดวงตาของพวกมันก็ได้เช่นกัน ดวงตาเป็นหนึ่งในจุดที่อ่อนแอที่สุดบนร่างกาย ดังนั้นการโจมตีไปที่ดวงตาอย่างว่องไวอาจทำให้ผู้ร้ายเกิดเปลี่ยนใจที่จะไม่ทำร้ายคุณ รวมทั้งยังส่งผลให้พวกมันไม่สามารถมองเห็นได้ชั่วคราวและเปิดโอกาสให้คุณสามารถหลบหนีไปได้

   • จำไว้ว่าคุณไม่ได้ต้องการให้ผู้ร้ายได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นตาบอด ดังนั้นเพียงโจมตีให้พอสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ร้ายเท่านั้นเพื่อให้คุณสามารถหลบหนีไปได้
   • หากคุณพกสเปรย์พริกไทยติดตัวไว้ ให้คุณฉีดสเปรย์ใส่ดวงตาของผู้ร้ายเพื่อให้พวกมันสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวและรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง หรือจะใช้กุญแจแทงไปที่ดวงตาก็ได้เช่นกัน
3. 
   3
   โจมตีไปที่จมูกของผู้ร้ายด้วยหมัดหรือฝ่ามือ. จมูกเป็นอีกหนึ่งจุดที่อ่อนแอและเปราะบางเป็นพิเศษ ดังนั้นหากคุณต้องการโจมตีผู้ร้าย ให้คุณใช้หมัดต่อยไปที่จมูกของพวกมันหรือจะตีด้วยขอบฝ่ามือก็ได้เช่นกัน หรือหากผู้ร้ายอยู่ห่างจากคุณไม่เกิน 2 ฟุต คุณก็สามารถใช้ข้อศอกตีไปที่จมูกของพวกมันแทนได้

   • การโจมตีไปที่จมูกสามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ร้ายได้อย่างรุนแรงและทำให้คุณสามารถหาจังหวะในการหลบหนีไปจากจุดเกิดเหตุไปได้
4. 
   4
   ต่อยเข้าไปที่ลูกกระเดือกหรือส่วนล่างของลำคอของผู้ร้าย. หากผู้ร้ายไม่ได้ป้องกันที่บริเวณลำคอ ให้คุณใช้จังหวะนี้ต่อยเข้าไปที่ลำคอของพวกมันโดยเล็งที่ลูกกระเดือกหรือบริเวณกึ่งกลางระหว่างกระดูกไหปลาร้าที่อยู่ตรงส่วนล่างของลำคอ การต่อยตรงเข้าไปที่ทั้งสองจุดนี้จะทำให้ผู้ร้ายรู้สึกหายใจลำบากไปชั่วขณะหนึ่งและเปิดโอกาสให้คุณสามารถหลบหนีไปได้

   • พึงระวังไว้ว่าการต่อยแรงๆ เข้าไปที่ลูกกระเดือกอาจส่งผลให้ทางเดินหายใจล้มเหลวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากผู้ร้ายไม่ได้ทำอันตรายกับคุณจนถึงแก่ชีวิต พยายามอย่าต่อยเข้าไปที่ลูกกระเดือกของผู้ร้ายอย่างเต็มแรง
5. 
   5
   เตะเข้าไปที่ขาหนีบหากผู้ร้ายเป็นผู้ชาย. การเตะเข้าไปตรงๆ ที่ขาหนีบเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผู้ร้ายรู้สึกเจ็บปวดทรมานจนแทบทนไม่ไหวไปชั่วขณะหนึ่งจนอาจถึงขั้นล้มลงไปกับพื้นได้ ดังนั้นเมื่อคุณเตรียมยกขาขึ้นเตะ ให้คุณเล็งที่จุดกึ่งกลางของขาหนีบตรงบริเวณขาของผู้ร้ายให้พอดี

   • จำไว้ว่าผู้ร้ายอาจไหวตัวทันว่าคุณจะเตะเข้าไปที่ขาหนีบของพวกมันและถอยห่างออกมาหรือป้องกันการเตะของคุณได้อย่างทันท่วงที
   • แม้ว่าผู้ร้ายจะเป็นผู้หญิง การเตะเข้าไปที่ขาหนีบก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจไม่ร้ายแรงมากเท่ากับในกรณีของผู้ชาย
6. 
   6
   รีบหลบหนีไปในช่วงที่ผู้ร้ายชะงักจนเสียสูญ. เมื่อหลุดพ้นจากการต่อสู้ของผู้ร้ายแล้ว ให้คุณรีบหลบหนีไปจากจุดเกิดเหตุโดยเร็วที่สุด จากนั้นรีบมองหาความช่วยเหลือโดยทันทีโดยโทรแจ้งสายด่วนตำรวจและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือหากคุณบังเอิญพบเจ้าหน้าที่ตำรวจพอดี ให้คุณตรงเข้าไปเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าคุณจะโทรแจ้งสายด่วนตำรวจหรือพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่าลืมแจ้งให้พวกเขาทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

   • อย่าพยายาม “จบ” การต่อสู้โดยเด็ดขาด ในขณะที่ผู้ร้ายกำลังชะงักจากการเจ็บปวด (เช่น จากการถูกโจมตีที่ลำคอ ดวงตา หรือขาหนีบ) ไม่ต้องรอดูว่าพวกมันไหวหรือไม่และรีบวิ่งหนีไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย เช่น ในรถ ในอาคาร หรือในบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านเพื่อไม่ให้ผู้ร้ายสามารถมองเห็นคุณได้

ส่วน 2

ส่วน 2 ของ 3:

รับมือกับภัยคุกคาม

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   แสดงความมั่นใจและการระแวดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายง่ายๆ. โจรหรือผู้ร้ายต่างๆ จะพยายามมองหาเหยื่อที่จัดการได้ง่าย เช่น ผู้ที่ไม่ทันระวังบรรยากาศรอบข้างหรือผู้ที่สามารถโจมตีได้ง่ายๆ ดังนั้น แทนที่จะเดินก้มหน้าเพื่อมองดูโทรศัพท์มือถือ ให้คุณเดินตัวตรงอย่างกระฉับกระเฉงพร้อมดันหัวไหล่ไปทางด้านหลังและเชิดคางขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการสบตากับผู้ที่คุณสงสัยว่ากำลังสะกดรอยตามคุณ แต่ให้คุณใช้วิธีมองไปรอบๆ ตัวเพื่อคอยระมัดระวังบรรยากาศรอบข้างแทน

   • หากผู้ร้ายรู้สึกว่าคุณไม่ใช่เป้าหมายที่จัดการได้ง่าย พวกมันอาจเลือกไม่เข้ามาจู่โจมคุณ
2. 
   2
   เกลี้ยกล่อมเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้. หากผู้ร้ายเริ่มพูดเสียงแข็งกร้าวกับคุณ ให้คุณตอบกลับอย่างใจเย็นเพื่อพยายามคลี่คลายสถานการณ์ลง หากโชคดีผู้ร้ายอาจเริ่มสงบสติอารมณ์ลง หรืออย่างน้อยคุณอาจสามารถยื้อเวลาเพื่อให้มีเวลามากพอสำหรับหลบหนีไปจากจุดเกิดเหตุ ลองตอบกลับด้วยประโยคอย่าง “ฉันคิดว่าคุณใจเย็นลงก่อนดีกว่าไหม เดี๋ยวฉันจะขึ้นรถและขับออกไปเดี๋ยวนี้แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าตามฉันมาอีกเลย”

   • แม้ว่าผู้ร้ายจะส่งเสียงดังหรือพูดจาหยาบคายกับคุณ อย่าตะโกนใส่กลับไปโดยเด็ดขาด ให้คุณตั้งสติและพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์ลงเพื่อให้คุณหาจังหวะออกจากจุดเกิดเหตุไปได้
3. 
   3
   หลบหนีไปจากจุดเกิดเหตุเพื่อให้รอดจากผู้ร้ายทันทีที่มีโอกาส. หากผู้ร้ายตรงเข้าประชิดตัวคุณ ให้คุณหาทางหลบหนีด้วยการซ่อนตัวในรถ เข้าไปในอาคาร หรือปะปนในฝูงชน ซึ่งคงเป็นการดีที่สุดหากคุณสามารถหาโอกาสหลบหนีและรอดจากผู้ร้ายไปได้โดยไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น คุณอาจลองใช้วิธีโยนกระเป๋าสตางค์หรือนาฬิกาข้อมือไปในทิศทางหนึ่งแล้วจึงวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามเพื่อหลบหนีไป

   • หรือหากผู้ร้ายถามหากระเป๋าสตางค์ บัตรเครดิต เสื้อแจ๊คเก็ต หรือรองเท้าของคุณ อย่าลังเลและยื่นของให้พวกมันโดยทันที จำไว้ว่ามันไม่คุ้มค่าพอที่คุณจะนำชีวิตมาเสี่ยงกับเงินเพียงเล็กน้อย
4. 
   4
   ตะโกนใส่เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้ร้ายเริ่มจู่โจมคุณ. ในเกือบทุกกรณีผู้ร้ายมักจะมองหาเหยื่อที่สามารถจัดการได้อย่างเงียบๆ และง่ายดาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่พวกมันจะพยายามหลีกเลี่ยงการส่งเสียงดังเพื่อไม่ให้เป็นการดึงความสนใจจากคนอื่นๆ (และที่สำคัญคือตำรวจ) มายังจุดเกิดเหตุ ดังนั้น หากผู้ร้ายตรงเข้าประชิดตัวและพยายามทำร้ายร่างกายคุณ ให้คุณตะโกนเสียงดังว่า “ถอยไปนะ!”

   • หากผู้ร้ายยังคงมุ่งหน้าเข้ามา ให้คุณตะโกนต่อไปโดยไม่หยุด อย่างเช่น “ออกไปเดี๋ยวนี้!” หรือ “อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!”
   • หากพกโทรศัพท์มือถือติดตัวไว้ คุณอาจหยิบออกมาและตะโกนใส่ผู้ร้ายว่า “ฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้หากนายไม่ยอมถอยไป!”
5. 
   5
   ยืนในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัวในกรณีที่ผู้ร้ายเริ่มโจมตีคุณ. หากคุณไม่สามารถหลบหนีหรือคลี่คลายสถานการณ์ลงได้ ให้คุณเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะต่อสู้กับผู้ร้าย เริ่มจากยืนตรงโดยวางเท้าให้กว้างเท่าช่วงหัวไหล่พร้อมให้ขาข้างที่ไม่ถนัดอยู่ข้างหน้าและชี้ออกไปด้านนอก พยายามทิ้งน้ำหนักลงไปที่กึ่งกลางระหว่างเท้าทั้งสองข้าง ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ตำแหน่งของจุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำลงและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาป้องกันใบหน้าไว้

   • ท่ายืนนี้จะทำให้ผู้ร้ายจู่โจมคุณได้ยากขึ้นและช่วยให้คุณสามารถควบคุมร่างกายได้ดีขึ้นในระหว่างการป้องกันตัว พยายามยืนให้มั่นคงอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้คุณถูกโจมตีจนล้มลงได้ง่ายๆ และทำให้คุณสามารถรักษาสมดุลของร่างกายได้ง่ายขึ้นในระหว่างการต่อสู้

ส่วน 3

ส่วน 3 ของ 3:

ป้องกันตัวจากการจู่โจม

ดาวน์โหลดบทความ

1. 
   1
   ใช้มือและแขนทั้งสองข้างป้องกันบริเวณขาหนีบ ลำคอ ท้อง และดวงตา. บริเวณเหล่านี้เป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดในร่างกายและเป็นจุดที่ผู้ร้ายมักพยายามโจมตีเป็นที่แรกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกโจมตีอย่างเต็มแรงเข้าที่ท้องหรือลำคออาจทำให้คุณหมดกำลังในการต่อสู้ไปได้ ดังนั้นคุณจึงควรใช้มือและต้นแขนป้องกันบริเวณเหล่านี้ไว้ให้พ้นจากหมัดของผู้ร้าย หรือหากเป็นไปได้ ให้คุณเบี่ยงเบนทิศทางของการต่อยหรือตบให้เข้าที่หัวไหล่หรือลำตัวช่วงบนแทน

   • หากคุณถูกโจมตีจนล้มลงไปบนพื้น ในจังหวะที่ผู้ร้ายกำลังจะเตะหรือกระทืบคุณ ให้คุณม้วนตัวกลมและป้องกันศีรษะของคุณเอาไว้
2. 
   2
   กลับมาในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัวหลังโจมตีกลับใส่ผู้ร้าย. อย่าเปิดโอกาสให้ผู้ร้ายคว้าแขนหรือทำให้คุณเสียสมดุลได้หลังจากที่คุณโจมตีกลับใส่ผู้ร้าย โดยทันทีที่คุณโจมตีเข้าไปที่ร่างกายของผู้ร้ายแล้ว ให้คุณกลับมาในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัวดังเดิมด้วยการยืนงอเข่าเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาป้องกันไว้โดยให้มือข้างที่ถนัดอยู่ที่ด้านหน้าแก้มและมืออีกข้างหนึ่งอยู่ตรงบริเวณขมับซึ่งเป็นจุดบนใบหน้าที่คุณควรป้องกันไว้เป็นอย่างดี เนื่องจากการถูกโจมตีเข้าที่แก้มหรือขมับอาจทำให้คุณถึงขั้นหมดสติไปได้

   • ในระหว่างการต่อสู้ พยายามส่งเสียงให้ดังมากที่สุดไปเรื่อยๆ เพื่อพยายามยับยั้งผู้ร้ายหรือดึงความสนใจจากคนอื่นๆ ลองตะโกนว่า “อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!” หรือ “ออกไปเดี๋ยวนี้!”
3. 
   3
   ใช้ศีรษะชนไปที่ผู้ร้ายหากคุณถูกจับตัวจากด้านหลัง. ในบางกรณีคุณอาจไม่ทันเห็นว่าผู้ร้ายตรงเข้าประชิดตัวคุณ ดังนั้นหากมีคนจับตัวคุณจากด้านหลัง ให้คุณใช้ศีรษะชนไปทางด้านหลังเพื่อให้ส่วนหลังของกะโหลกศีรษะกระแทกเข้าไปที่จมูกของผู้ร้าย หรือหากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ให้คุณงอหัวเข่าเพื่อทิ้งน้ำหนักตัวลงไปและใช้ข้อศอกกระแทกเข้าไปที่จมูกของผู้ร้ายแทน การกระแทกเข้าไปที่จมูกอย่างเต็มแรงทั้งด้วยศีรษะหรือข้อศอกจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ร้ายจนเผลอปล่อยมือจากตัวคุณ

   • หากผู้ร้ายจับตัวคุณจากด้านหน้า ลองใช้หน้าผากกระแทกเข้าไปที่จมูกของพวกมันอย่างเต็มแรง หรือหากไม่สามารถทำได้ ให้คุณใช้วิธีต่อยเข้าไปที่รักแร้ข้างใดข้างหนึ่งของพวกมันแทน วิธีนี้จะทำให้ผู้ร้ายรู้สึกเจ็บปวดทรมานจนเผลอคลายมือที่จับตัวคุณไว้
4. 
   4
   โจมตีผู้ร้ายด้วยอาวุธเฉพาะหน้าที่หาได้จากรอบตัวคุณ. หากคุณโจมตีผู้ร้ายกลับไปบ้างแล้วแต่พวกมันยังคงจู่โจมคุณต่อไปไม่หยุด ลองมองหาอาวุธเฉพาะหน้าสักชิ้นที่คุณพกติดตัวไว้ เช่น ใช้กุญแจแทงเข้าไปที่ดวงตาของผู้ร้ายหรือหวดเข้าไปที่ใบหน้าของพวกมันด้วยกระเป๋าของคุณ หรือหากบังเอิญมีท่อนไม้หรือท่อนเหล็กวางอยู่ในบริเวณนั้นพอดี ให้คุณหยิบขึ้นมาและตีเข้าไปที่ตัวของผู้ร้าย นอกจากนี้คุณยังสามารถสาดเศษฝุ่นหรือผงทรายเข้าตาผู้ร้ายได้เช่นเดียวกันเพื่อให้พวกมันสูญเสียการมองเห็นไปชั่วคราว

   • แน่นอนว่าอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่อาวุธที่ดีที่สุดสำหรับการต่อสู้ แต่อุปกรณ์เหล่านี้ก็อาจช่วยให้คุณรอดพ้นจากอันตรายได้พร้อมแผลเย็บเพียงเล็กน้อยแทนที่จะได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
   • หลายๆ คนอาจพกสเปรย์พริกไทยติดตัวไว้สำหรับเป็นอาวุธป้องกันตัวในยามคับขัน
5. 
   5
   ไปโรงพยาบาลหากคุณได้รับบาดเจ็บในระหว่างการต่อสู้. เมื่อคุณหลบหนีออกมายังสถานที่ที่ปลอดภัยได้แล้วไม่ว่าจะเป็นในบริเวณที่มีผู้คนแออัดหรือในบ้านของคุณเอง ลองสำรวจร่างกายตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่หากพบว่ามีการบาดเจ็บเกิดขึ้นตามร่างกายของคุณ ให้คุณรีบไปโรงพยาบาลหรือหน่วยฉุกเฉินโดยทันที หรือหากมีรอยขีดข่วนหรือรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย คุณอาจเพียงทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและปิดด้วยผ้าพันแผลเท่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล

   • ที่โรงพยาบาลมักจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สามารถรับมือกับผู้ร้ายได้หากพวกมันยังคงไม่หยุดทำร้ายร่างกายคุณ

เคล็ดลับ

• ห้ามหันหลังให้ผู้ร้ายโดยเด็ดขาดแม้กระทั่งเมื่อเดินไปที่รถเพื่อไม่ให้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ร้ายสามารถเข้ามาทำร้ายคุณได้ในขณะที่คุณละสายตาไปจากพวกมัน แต่ควรใช้วิธีเดินถอยหลังหรือเดินไปทางด้านข้างไปยังบริเวณที่ปลอดภัยโดยใช้สายตาจ้องมองไปที่พวกมันตลอดเวลา
• หากผู้ร้ายโอบรัดตัวคุณไว้ ให้คุณกระทืบลงไปบนเท้าของผู้ร้ายอย่างเต็มแรง แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ร้ายได้มากนัก แต่วิธีนี้อาจทำให้พวกมันเสียสมาธิได้มากพอจนคุณสามารถผละตัวออกมาและวิ่งหนีไปได้

คำเตือน

• วิธีการโจมตีต่างๆ ที่กล่าวมาต้นนั้นอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสได้ ยกตัวอย่างเช่น การแทงเข้าไปที่ดวงตาอาจทำให้ผู้ร้ายได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาอย่างรุนแรง หรือการต่อยเข้าไปที่ลูกกระเดือกอาจเป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากคุณเพียงมีเรื่องชกต่อยในโรงเรียนหรือในกลุ่มเพื่อน คุณไม่จำเป็นต้องทำร้ายร่างกายคู่ต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นปางตาย
• ในทางตรงกันข้าม หากคุณกำลังถูกลักพาตัว ปล้นทรัพย์ หรือล่วงละเมิดทางเพศ (เช่น ลวนลามหรือข่มขืน) รวมถึงผู้ร้ายมีความตั้งใจจะทำร้ายร่างกายคุณอย่างรุนแรงเกินสมควรหรือหมายจะเอาชีวิตคุณ หากคุณไม่สามารถหลบหนีไปได้ ให้คุณโจมตีกลับไปอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าคุณจะหลบหนีไปได้โดยไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด