บทความนี้ร่วมเขียนโดยเหล่าบรรณาธิการและนักวิจัยที่ผ่านการฝึกฝนมาเพื่อความถูกต้องและครอบคลุมของเนื้อหา
ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้
บทความนี้ถูกเข้าชม 5,161 ครั้ง
สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องสำอาง อาจเคยหรือไม่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่เผลอทำหกใส่ปกคอเสื้อตัวเก่งหรือกางเกงยีนส์สักคู่บ้างแหะ ก่อนที่จะใช้ทิชชู่ขยี้เช็ดที่รอยคราบแล้วโยนเข้าเครื่องซักผ้า ลองมาดูวิธีกำจัดคราบเครื่องสำอางออกจากเสื้อผ้าโดยยังไม่ต้องนำไปซักดูก่อนดีกว่านะ มาเรียนรู้วิธีกำจัดคราบลิปสติก มาสคาร่า อายไลเนอร์ อายแชโดว์ รองพื้น และบลัชออนกันเลย!
ขั้นตอน
- ทดลองป้ายจุดเล็กๆ ของเนื้อผ้าเพื่อกำจัดคราบเครื่องสำอางเล็กๆ ดู. เพราะในผ้าเปียกทำความสะอาดมักจะมีสารเคมีที่อาจมีปฏิกิริยากับเนื้อผ้า และทำให้เสื้อผ้าคุณเสียหายเอาได้ เลยต้องลองป้ายดูก่อนนั่นเอง
- ผ้าเปียกทำความสะอาดยี่ห้อต่างๆ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปหรือสั่งซื้อออนไลน์ หรือว่าจะซื้อเป็นปากกาลบคราบเปื้อนอย่างยี่ห้อ Tide-to-Go ก็ได้เช่นกัน
- ถูคราบเปื้อนด้วยผ้าเปียก. ค่อยๆ ถูที่คราบเป็นวงกลม เริ่มจากขอบของคราบเปื้อนไล่ไปถึงตรงกลาง ถูแบบนี้ไปสักสองสามนาที หรือจนกว่าคราบส่วนใหญ่จะขึ้นมาติดบนผ้า
- ใช้น้ำประปาเย็นๆ ล้างที่คราบ. ให้แบะผ้าไว้ใต้ก๊อกน้ำ แล้วเปิดน้ำเบาๆ เพื่อให้เล็งไปจุดที่เป็นคราบเปื้อนได้ง่ายๆ
- น้ำเย็นจะช่วยชะล้างคราบที่ติดอยู่ได้.[1]
- ใช้ทิชชู่ซับให้แห้ง. บิดน้ำออกจากบริเวณที่มีคราบเปื้อน และเน้นซับจุดที่มีคราบเปื้อนบ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคราบเครื่องสำอางจะได้ถูกกำจัดออกไป[2]โฆษณา
- ใช้ทิชชู่สะอาดๆ ซับที่รอยเปื้อนลิปสติก อายไลเนอร์ หรือมาสคาร่าบนเสื้อผ้า. วิธีนี้ใช้ได้ผลดีกับเครื่องสำอางเหล่านี้สุดๆ เลยล่ะ นั่นก็เพราะมันมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักนั่นเอง น้ำยาล้างจานจะไม่ไปทำลายเนื้อผ้าส่วนใหญ่ด้วย ให้ใช้ทิชชู่ค่อยๆ ซับที่คราบเพื่อกำจัดคราบส่วนเกินออก แต่อย่าถูล่ะ ไม่อย่างนั้นคราบได้กระจายแน่
- พรมน้ำเย็นใส่. จะเปิดน้ำใส่นิ้วแล้วค่อยมาแตะเบาๆ ตรงคราบเปื้อนก็ได้นะ หรือว่าจะตักน้ำมาสัก 1/2 ช้อนชาเทลงบนคราบก็ได้ แต่อย่าใช้น้ำร้อนล่ะ เพราะมันจะทำให้คราบซึมเข้าไปในเนื้อผ้ามากขึ้น[3]
- หยดน้ำยาล้างจานหนึ่งหยดลงบนคราบ. ถ้าคุณกังวลว่าน้ำยาจะส่งผลไม่ดีกับผ้าไหมหรือผ้าขนสัตว์ ก็ให้ลองหยดตรงจุดเล็กๆ ก่อนที่จะนำไปใช้ขจัดคราบจริงๆ ดู ใช้นิ้วชี้ค่อยๆ ป้ายน้ำยาให้ทั่วรอยเปื้อน โดยป้ายบางๆ ก็พอ ในตอนที่เลือกน้ำยาล้างจานตามร้านค้าหรือร้านสะดวกซื้อ ก็ให้เลือกสูตรที่ขจัดคราบมันได้ดีแล้วกัน
- ถูน้ำยาบนคราบ. ใช้ผ้าขนหนูค่อยๆ ถูน้ำยาบนคราบเบาๆ เริ่มถูจากด้านนอกไปยังด้านในของคราบเปื้อน โดยถูเป็นวงกลม ถ้าจะให้ดีสุดก็ให้ใช้เป็นผ้าขนหนูเทอร์รี่ผืนเล็กๆ เอานะ พอยิ่งถูยิ่งซับไป มันก็จะช่วยกำจัดคราบเครื่องสำอางออกจากผ้าได้ แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้ผล จะใช้เป็นผ้าขนหนูธรรมดาก็ได้
- สำหรับคราบฝังแน่น ใช้แปรงสีฟันเก่าๆ แทนผ้าในการถูน้ำยาบนคราบเปื้อนได้เลย
- ทิ้งน้ำยาไว้บนผ้าประมาณ 10-15 นาที. เพื่อให้น้ำยาได้เข้าไปขจัดคราบโดยไม่ต้องนำไปซัก แต่อย่าทิ้งไว้ถึงขั้นน้ำยาแห้งเลยล่ะ
- ซับให้สะอาดด้วยทิชชู่. อย่าถูคราบ แค่ใช้ทิชชู่ซับให้เครื่องสำอางและน้ำยาล้างจานซึมติดขึ้นมาก็พอ ถ้าไปถูมัน มันก็จะยิ่งเกิดการขัดสีที่ทำให้เครื่องสำอางหรือเศษทิชชู่ติดอยู่ที่ผ้ามากขึ้นแทน
- ทำซ้ำหากจำเป็น. คุณอาจต้องทำขั้นตอนนี้ซ้ำจนกว่าจะเห็นได้ชัดว่าคราบเครื่องสำอางหายไปมากๆ ก่อน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเก่าของคราบนั่นเอง และถ้าคราบยิ่งมีขนาดใหญ่ ก็จะยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นเท่านั้น[4]โฆษณา
- ฉีดสเปรย์ฉีดผมลงบนจุดเล็กๆ ของผ้าเพื่อกำจัดรองพื้นเนื้อครีม เซลฟ์แทนนิ่ง และลิปสติกจุ่ม. ลองดูว่ามันมีสีที่เปลี่ยนไปหรือมีความเสียหายใดๆ หรือไม่ แล้วฉีดสเปรย์ฉีดผมลงบนคราบโดยตรง ควรใช้สเปรย์ฉีดผมที่จัดทรงอยู่เป๊ะๆ เพราะสารเคมีนั้นสามารถจับเครื่องสำอางได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
- ยิ่งฉีดใส่คราบที่เพิ่งเปื้อนเร็วเท่าไร ก็ยิ่งกำจัดคราบออกได้มากเท่านั้น
- ระวังอย่าใช้สเปรย์ฉีดผมกับผ้าที่มีความบอบบาง อย่างผ้าลูกไม้หรือผ้าไหม แล้วก็ไม่ต้องฉีดทับหลายๆ ชั้นเพื่อให้สเปรย์แข็งตัวด้วย
- รอให้สเปรย์แข็งตัว. หลังผ่านไปไม่กี่นาที สเปรย์ก็จะแข็งตัวเข้าไปในคราบและเนื้อผ้า ถ้ามันไม่แข็งตัวก็ค่อยฉีดทับอีกที แล้วรอต่อไปอีกสักสองสามนาที
- นำทิชชู่ไปจุ่มน้ำ. หยิบทิชชู่ไปจุ่มน้ำเย็น ยิ่งน้ำเย็นมากเท่าไรยิ่งใช้ลบคราบได้มากเท่านั้น จากนั้นก็บีบเอาน้ำส่วนเกินออก เพื่อจะได้ไม่ชุ่มเนื้อผ้ามากเกินไป เอาให้พอหมาดๆ ไม่ต้องเปียกโชก
- เช็ดคราบออก. ใช้ทิชชู่จุ่มน้ำซับเอาสเปรย์ออกจากผ้า โดยคราบเครื่องสำอางก็จะติดสเปรย์มาด้วย[5]
- กดทิชชู่ลงเบาๆ ที่คราบแล้วยกขึ้นมาดูว่าเครื่องสำอางติดออกมามากแค่ไหน ทำแบบนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะมองไม่เห็นคราบเครื่องสำอางไปเลย
- ถ้าไม่อยากให้เศษทิชชู่ติดบนเนื้อผ้า ให้ใช้กระดาษทิชชู่แผ่นหนาๆ เอานะ
โฆษณา
- ขูดรองพื้นเนื้อครีม เซลฟ์แทนนิ่ง หรือคอนซิลเลอร์ออกด้วยพวกช้อนส้อมมีดที่เป็นพลาสติก. ก่อนที่เครื่องสำอางจะแห้งติดเนื้อผ้า ก็ให้รีบขูดมันออกด้วยช้อนหรือมีดพลาสติกเสียก่อน เครื่องสำอางเหล่านี้จะไม่ได้แห้งติดเสื้อผ้า ทำให้มั่นใจว่าจะกำจัดได้ง่ายขึ้น ความที่เครื่องมืออ่อนดัดง่าย ยิ่งทำให้ขูดเอาเนื้อเครื่องสำอางส่วนเกินออกได้ง่าย และเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งไปได้เลย[6]
- ถูก้อนน้ำแข็งบนคราบเปื้อน. กดก้อนน้ำแข็งลงไปบนรอยเปื้อนแล้วถูเป็นวงกลม น้ำแข็งจะไปทำให้เครื่องสำอางที่ฝังอยู่ในผ้าแตกตัวออก ให้ถูไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะรู้สึกว่าคราบเครื่องสำอางได้หลุดออกจากผ้าแล้ว
- ควรจับน้ำแข็งเอาไว้ใต้ผ้า เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วเจ็บและช่วยยืดเวลาที่น้ำแข็งจะละลายได้ด้วย
- ก้อนน้ำแข็งสามารถใช้ได้กับเนื้อผ้าทุกชนิด เพราะมันเป็นน้ำไงล่ะ!
- ซับให้แห้งด้วยทิชชู่. หยิบทิชชู่มาซับเบาๆ บริเวณที่คราบเปียก จนกว่าเครื่องสำอางจะหลุดออกจนหมด จากนั้นก็ใช้ทิชชู่บิดน้ำออกจากผ้า ถ้าหากว่าคุณยังเห็นคราบเครื่องสำอางเล็กๆ ติดอยู่ที่เดิม ให้ใช้น้ำแข็งอีกก้อนได้เลย ทำซ้ำๆ ไปจนกว่าผ้าจะสะอาด[7]โฆษณา
- หาถุงน่องเก่าๆ สักตัวเพื่อเอาไว้กำจัดเครื่องสำอางที่เป็นผงอย่างรองพื้น บลัชออน และอายแชโดว์. เลือกถุงน่องคู่ที่คุณยอมให้มันสกปรกได้ ถุงน่องส่วนใหญ่จะทำมาจากไนลอนและไมโครไฟเบอร์ รองลงมาก็จะเป็นผ้าฝ้ายและไมโครไฟเบอร์ อ่านฉลากให้ดีๆ ล่ะ คุณจะต้องใช้คู่ที่มันทำมาจากไนลอนนะ
- ถุงน่องเนื้อไนลอนจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ กับเนื้อผ้าของคุณ คุณสามารถซักมันให้เหมือนใหม่ได้เลยล่ะ
- กำจัดเครื่องสำอางส่วนเกินออกจากเสื้อผ้า. เป่าคราบเปื้อนเพื่อกำจัดผงเครื่องสำอางที่ติดบนผ้าออกไป โดยจะเป่าจากปากหรือใช้ไดร์เป่าผมก็ได้[8]
- ถ้าจะใช้ไดร์เป่าผม ก็ให้เปิดเบอร์ที่เย็นที่สุด เพราะถ้าใช้ลมร้อน คราบเครื่องสำอางอาจฝังแน่นลงไปกว่าเดิม ซึ่งคุณไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย
- ถือผ้าเอาไว้ตึงๆ ในแนวนอนด้านหน้าคุณ แล้วเป่าไปทิศทางอื่นที่ไม่ได้เข้าหาคุณ เพื่อที่ผงเครื่องสำอางจะได้ไม่กลับมาติดผ้าอีก
- ปัดคราบด้วยถุงน่อง. ถือถุงน่องไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้ปัดคราบเปื้อนได้เลย พอปัดแล้วเครื่องสำอางที่เป็นผงก็จะติดถุงน่องขึ้นมา ให้ปัดไปเรื่อยๆ จนกว่าคราบเครื่องสำอางจะหมดไปได้เลย[9]โฆษณา
เคล็ดลับ
- ให้ถอดเสื้อผ้าออกเพื่อกำจัดคราบตามวิธีเหล่านี้ได้ง่ายกว่าเดิม
- จะลองใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลหรือทิชชู่เปียกสำหรับคราบลิปสติกและรองพื้นเนื้อครีมก็ได้นะ[10]
- เป่าเครื่องสำอางที่เป็นผงแห้งออกจากเสื้อผ้าด้วยลมเย็นๆ[11]
- ลองใช้น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสำอางปริมาณเล็กน้อยหยดลงบนก้อนสำลีเพื่อซับเอาเครื่องสำอางที่เปื้อนใหม่ๆ ออกดู[12]
คำเตือน
- อย่าใช้สารเคมีที่แนะนำให้มากเกินไป เพราะมันอาจทำลายเนื้อผ้าได้
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.bustle.com/articles/18874-5-ways-to-remove-makeup-stains-no-dry-cleaner-required
- ↑ http://www.bustle.com/articles/18874-5-ways-to-remove-makeup-stains-no-dry-cleaner-required
- ↑ http://www.bustle.com/articles/18874-5-ways-to-remove-makeup-stains-no-dry-cleaner-required
- ↑ http://stylecaster.com/beauty/how-to-remove-makeup-stains-from-clothing/
- ↑ http://www.bustle.com/articles/18874-5-ways-to-remove-makeup-stains-no-dry-cleaner-required
- ↑ http://stylecaster.com/beauty/how-to-remove-makeup-stains-from-clothing/
- ↑ http://www.bustle.com/articles/18874-5-ways-to-remove-makeup-stains-no-dry-cleaner-required
- ↑ http://www.racked.com/2015/8/14/9130637/get-makeup-stains-out-of-clothes
- ↑ http://www.bustle.com/articles/18874-5-ways-to-remove-makeup-stains-no-dry-cleaner-required
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.