วิธีการ เป็นจอมเวทย์

จอมเวทย์คือคนที่ฝึกเวทมนตร์และฉลาดพอที่จะใช้มัน นี่ไม่ใช่แค่การแต่งตัวเป็นพ่อมดแม่มดแบบในแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่คือการเป็นจอมเวทย์แบบต้นตำรับ! หากคุณจริงจังกับเวทมนตร์ศาสตร์โบราณล่ะก็ คุณต้องอ่านบทความนี้เท่านั้น

วิธีการ 1

วิธีการ 1 ของ 4:

เริ่มก้าวแรก

ดาวน์โหลดบทความ

1
สวมเสื้อผ้าแบบที่พอใจ. พ่อมดแม่มดในนิยายมักสวมชุดคลุมยาวๆ เพราะนั่นคือเครื่องแบบประจำตัวของพวกเขา ไม่ใช่เพราะสวมแล้วจะกลายเป็นจอมเวทย์ จริงๆ แล้วการใส่ชุดคลุมตัวยาวจะทำให้คุณดูประหลาดเสียมากกว่า แทนที่จะสวมอะไรแบบนั้น คุณต้อง “เป็นตัวของตัวเอง” เริ่มจากการสวมเสื้อผ้าที่คุณใส่เป็นประจำทุกวัน นอกเสียจากว่าคุณจะต้องออกศึกประลองเวทย์ สรุปก็คือ นอกเสียจากว่าชุดคลุมที่พลิ้วๆ ยาวๆ จะเป็นสไตล์การแต่งตัวปกติของคุณอยู่แล้ว... แต่ถึงอย่างไร อย่าลากชุดคลุมยาวๆ ไปไหนมาไหนในวันปกติจะดีกว่า
- จริงๆ แล้วเสื้อผ้าเป็นเรื่องของจิตใจ หากชุดที่คุณใส่อยู่ทำให้คุณ “รู้สึก” มีพลังล่ะก็ สวมมันไปเลย! คุณไม่ต้องรอใครมาคิดแทนคุณว่าเสื้อผ้าแบบไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
2
เริ่มเขียนคัมภีร์. บันทึกเล่มนี้จะเป็นคัมภีร์เวทมนตร์ส่วนตัวของคุณ ในบันทึกคุณต้องบันทึกความฝัน ความรู้สึก คาถา ผลลัพธ์จากการร่ายคาถา รวมถึงคำอธิบายอย่างละเอียดและการตีความ คุณต้องพกมันติดตัวตลอดเวลา อย่าลืมว่า “ความบังเอิญอันเหลือเชื่อ” (ช่วงเวลาที่จักรวาลมีท่าทีว่าจะเรียงตัวกัน) สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา!
- ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งกันและกันกับโลกเมื่อคุณตระหนักได้ว่าจักรวาลกำลังเคลื่อนที่ การเอาแต่นั่งเฉยๆ อยู่ในห้องนอนจะไม่ทำให้เกิดประสบการณ์ทางเวทย์แต่อย่างใด ทว่าหากคุณออกไปเผชิญโลกภายนอกหล่ะก็ คุณอาจได้พบกับความเป็นไปได้มากมาย อย่าลืมพกคัมภีร์เวทมนตร์ของคุณติดตัวออกมาด้วยล่ะ!
3
ศึกษาตำนานเกี่ยวกับจอมเวทย์. ความคลั่งไคล้ในพ่อมดไม่ได้เริ่มที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือแม้แต่พ่อมดเมอร์ลินแห่งกษัตริย์อาเธอร์หรอกนะ! เป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวที่จะรู้ว่าตำนานจอมเวทย์เริ่มขึ้นอย่างไร และเมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง คุณสามารถศึกษาตำนานเหล่านี้ได้จากห้องสมุดประชาชนหรือจากอินเตอร์เน็ต
- จอมขมังเวทย์ทั้งหลายต้องการแรงบันดาลใจ ความคิดที่ว่าคุณอยากจะเป็นพ่อมดในแบบฉบับของตัวเอง สามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และชี้นำคุณไปสู่โลกที่คุณเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่ โลกนี้มีเวทมนตร์เป็นหมื่นเป็นพันชนิด คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นจอมเวทย์สายไหนหากคุณไม่เปิดใจให้กว้าง?
4
เชื่อมโยงกับชีวิต. หากคุณศึกษาลึกซึ้งมากพอ คุณจะพบว่าพืชและสัตว์ทุกชนิดต่างมีบางสิ่งที่เหมือนกัน คุณสามารถเรียนรู้ความเหมือนนั้นผ่านการเรียนเล่นแร่แปรธาตุได้ด้วยเช่นกัน พ่อมดมักจะเชื่อมโยงตัวเองกับธรรมชาติด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ลองพยายามเข้าถึงธรรมชาติในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การเชื่อมโยงกับธรรมชาติไม่จำเป็นต้องทานมังสวิรัตหรือเลิกเหยียบมด ขอเพียงแค่คุณตระหนักว่าทุกชีวิตมีค่ายิ่งกว่าอัญมณีใดๆ ในโลกก็พอ
- จักรวาลและตัวเราต่างประกอบสร้างขึ้นจากธาตุเดียวกัน ใช่แล้ว พวกเราคือเศษเถ้าธุลีของดวงดาว และหมายความตรงตามทุกตัวอักษร! นี่ไม่ใช่เวทมนตร์แต่คือวิทยาศาสตร์ หากมีใครบอกคุณต่างไปจากนี้ล่ะก็ บอกให้เขาไปหาหนังสือมาอ่านซะ มันมีมูลความเชื่อนี้อยู่จริงๆ

วิธีการ 2

วิธีการ 2 ของ 4:

ขัดเกลาพลังยอดมนุษย์ในตัวคุณ

ดาวน์โหลดบทความ

1
ขัดเกลาจิตใจ. จอมเวทย์ทั้งที่เป็นจริงและในตำนานเป็นที่รู้จักในเรื่องความฉลาดปราดเปรื่อง (ไม่ว่าจริงหรือไม่ก็ตาม) บ่อยครั้ง เรามองผู้คนที่ “ฉลาดโดยธรรมชาติ” ด้วยความอิจฉา ความจริงก็คือ พวกเขาไม่ได้เกิดมามีสมองที่ดีกว่า พวกเขาเพียงแค่รู้ “วิธีการ” ที่จะเป็นคนฉลาดต่างหาก ดังนั้นจงพูดให้น้อยต่อยให้หนัก ทุ่มเทพลังที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ความรู้คืออำนาจ!
- คนฉลาดคือคนที่ทบทวนฝึกฝนสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น จิมมี่ นักเรียนคนโปรดของคุณครู ที่เขาสอบผ่านการสะกดคำก็เพราะเขาทวนคำซ้ำไปซ้ำมา นอกจากนี้เขายังให้แม่ของเขาลองทดสอบเขาก่อนลงสนามจริงอีกด้วย จิมมี่ไม่ได้ฉลาดตั้งแต่เกิด เขาแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก!
2
ไม่เพียงแค่ฟิตจิตใจเท่านั้น ร่างกายก็ต้องฟิตด้วย!. แม้แต่จอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจอยู่ยงคงกระพันได้ และถึงยังไงเขาก็ต้องพึ่งพาร่างกายที่แข็งแรงด้วย! คุณจะพบว่าร่างกายที่แข็งแรงนำไปสู่จิตใจที่สมบูรณ์ และไม่มีหนทางใดจะดีเท่านี้อีกแล้ว ดังนั้นจงออกกำลังกายซะ!
- คุณควรสนุกกับการออกกำลังกาย เรียนรู้วิธีการขี่จักรยานล้อเดียว เรียนฟันดาบซึ่งเป็นหนึ่งในกีฬาที่ฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างยอดเยี่ยม มุ่งมั่นเป็นนักปีนเขา ทำอะไรก็ได้ที่มีแค่จอมเวทย์ที่บ้าพอเท่านั้นที่จะทำได้
3
เป็น “อัจฉริยะ” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง. ในตำนานบางเรื่อง จอมเวทย์มักจะเชี่ยวชาญในศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง คุณวาดรูปเก่งหรือเปล่า? ถ้าใช่ก็จงฝึกฝนให้ชำนาญ ฝึกฝนความสามารถของตัวเอง เมื่อถึงระดับหนึ่ง ทักษะของคุณจะดูราวกับมีเวทมนตร์ในตัวเองเลยทีเดียว
- การวาดภาพ ภาษา วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์เป็นหัวข้อที่คุณอุทิศเวลาศึกษาได้ทั้งวันทั้งคืน หากคุณมีทักษะในเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พัฒนามันให้สุด! คุณจะพร้อมยิ่งขึ้นสำหรับเวทมนตร์ศาสตร์
การมีมโนภาพเกี่ยวกับความเป็นไปของจักรวาลถือเป็นเรื่องสำคัญมาก พลังอำนาจหลากหลายชนิดอ่านได้จากกลุ่มดาวและการรู้จักว่าดาวดวงไหนคืออะไร จักรวาลคือเครื่องมือของคุณ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่สุดที่คุณจะรู้ว่าจักรวาลทำงานและตอบสนองอย่างไร
5
เรียนรู้ศาสนาต่างๆ. เหล่าจอมเวทย์ในตำนานหลายๆเรื่องมักเกี่ยวข้องโดยตรงกับศาสนา ยกตัวอย่างเช่น พ่อมดเมอร์ลินเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคริสตศาสนา อย่างไรก็ตาม มีหลายๆ ศาสนาที่มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ศาสตร์ และบางศาสนาก็ยังเกี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้! เรียนรู้ศาสนายูดาห์ เต๋า คริสต์ ฮินดู ดรูอิด ลัทธินอกศาสนาใหม่ ตำนานของชาวนอรเวย์ เทพนิยายกรีก ตำนานไอยคุปต์ และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง
- เวทมนตร์พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงหลายปีมานี้ คุณจะพบว่ามันขยายขอบเขตข้ามพ้นกาลเวลามานานนับพันๆ ปี และปรากฏตัวในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมที่คุณทำการศึกษา แสดงให้เห็นว่าเวทมนตร์ไม่ใช่อะไรที่คุณสามารถตั้งนิยามหรือรวบรัดได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าเวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกด้วย!
6
เรียนรู้เวทมนตร์. คำว่า “เวทมนตร์” (occult) มาจากภาษาละติน “occultus” ที่แปลว่าหลบซ่อน อ่านทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่คุณสามารถหยิบหามาได้ ทั้งศาสตร์การใช้เวทมนตร์และคาถา ยิ่งคุณอ่านมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรู้สึกถึงพลังอำนาจมากขึ้นเท่านั้น (รวมถึงมีพลังอำนาจนั้นจริงๆ ด้วย)
- เพื่อที่จะเป็นจอมเวทย์ขนานแท้ คุณต้องรู้ภาษาอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาละติน ภาษาต่างๆ เช่นภาษานอรเวย์โบราณใช้ตัวอักษรรูนซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในอาณาจักรนี้ ยิ่งภาษาไม่ธรรมดาเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสัมผัสถึงพลังอำนาจของมันมากขึ้นเท่านั้น

วิธีการ 3

วิธีการ 3 ของ 4:

ลับคมพลังเวทย์ของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ

1
พยายามหยั่งรู้ให้ได้ก่อนคนอื่น. จอมเวทย์รู้เมื่อมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น มีสองวิธีที่จะหยั่งรู้ คือการเข้าฌาณและการเตรียมพร้อม ด้วยการเข้าฌาณ คุณจะหยั่งรู้ในใจตัวเองเลยว่าบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ฌาณเป็นพลังที่แข็งแกร่ง มันมักจะพาคุณไปในเส้นทางที่ถูกต้องเสมอหากคุณรับฟังมัน และการเตรียมพร้อมคือการที่คุณใช้ข้อเท็จจริงหรือในบางครั้งใช้วัตถุสิ่งของทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งฌาณหยั่งรู้และการเตรียมพร้อมคืออำนาจที่ทรงพลัง
- ส่วนสำคัญที่สุดคือการฟัง ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่ฟัง มันไม่เพียงพอหรอกกับการแค่ได้ยินสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณ คุณต้องฟัง ประมวล และเข้าใจสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัวด้วย ใช้เวลาแต่ละวันไปกับการ “รับฟัง” จังหวะหนึ่งคุณอาจค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
2
รู้และทำงานร่วมกับ 7 พลังธรรมชาติแห่งจักรวาล. 7 พลังธรรมชาติแห่งจักรวาลเป็นกฏทางอภิปรัชญาว่าด้วยการปกครองจักรวาล:
- กฏแห่งการสั่นสะเทือน กล่าวว่าทุกสิ่งเคลื่อนไหวอย่างไม่มีวันหยุดพัก สิ่งที่มีแรงสั่นสะเทือนที่ความถี่เท่ากันจะสะท้อนซึ่งกันและกัน เหมือนการดึงดูด เหมือนกับพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่างคือพลังงาน รวมถึงความคิดของคุณ และสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับอินเตอร์เน็ตด้วย จงเพ่งสมาธิไปที่ความคิดหรือมโนคติที่ดึงดูดทัศนะแบบเดียวกันอย่างต่อเนื่อง เคล็ดลับก็คือ “แทนที่จะคิดถึงสิ่งที่คุณไม่ต้องการ จงคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการเข้าไว้
- กฏแห่งความสัมพันธ์ กล่าวว่าไม่มีสิ่งใดเป็นตัวมันเองจนกว่าคุณจะเชื่อมโยงมันเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง มุมมองถูกตัดสินโดยสิ่งที่ผู้สังเกตการณ์มีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่นเดียวกัน ธรรมชาติ คุณค่า หรือคุณภาพของอะไรสักอย่างจะสามารถวัดได้ก็ต่อเมื่อมันสัมพันธ์กับของอีกสิ่ง เคล็ดลับก็คือ “ฝึกเชื่อมโยงสภาพของตัวเองกับสิ่งที่แย่กว่า แล้วคุณจะรู้สึกดีกับสภาพที่คุณเป็นอยู่”
- กฏแห่งเหตุและผล กล่าวว่าการกระทำใดๆย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาในระดับเท่าๆ กัน ทุกๆ สาเหตุย่อมทำให้เกิดผล และทุกๆ ผลย่อมมีสาเหตุ เคล็ดลับก็คือ “จงคิดและทำในสิ่งที่เกิดจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบที่คุณต้องการอย่างสม่ำเสมอ”
- กฏแห่งขั้วตรงข้าม กล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีขั่วตรงข้าม เช่น ร้อน-เย็น สว่าง-มืด บน-ล่าง ดี-ชั่ว ขั่วตรงข้ามซ่อนอยู่ในเงาของสิ่งที่คุณเป็นหรือไม่ได้เป็น และทำให้การดำรงอยู่เป็นไปได้ หากสิ่งที่คุณไม่ได้เป็นไม่อาจซ่อนเร้นอยู่ในสิ่งที่คุณเป็นอยู่ คุณก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ ดังนั้น อย่ากล่าวโทษหรือวิจารณ์ในสิ่งที่คุณไม่ได้เป็นหรือสิ่งที่คุณไม่ต้องการ เคล็ดลับก็คือ “จงมองหาแง่มุมดีๆ ในตัวบุคคลหรือสถานการณ์ต่างๆ และทำในสิ่งที่คุณสนใจให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป”
- กฏแห่งจังหวะ กล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีวัฏจักรตามธรรมชาติ กระแสน้ำขึ้นแล้วจึงลง กลางคืนย่อมตามด้วยกลางวัน และชีวิตก็ถือกำเนิดตัวเองขึ้นใหม่ เราทุกคนต่างมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย แต่ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา การตระหนักรู้ว่า “สิ่งนี้ก็จะผ่านไปด้วยเช่นกัน” เป็นปัญญาความคิดอันเฉียบแหลมว่าด้วยการดับลงและเลื่อนไหลของชีวิต เคล็บลับก็คือ “เมื่อคุณถึงจุดตกต่ำในชีวิต จงตระหนักว่าทุกอย่างจะดีขึ้น จงคิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่กำลังจะมาถึงเข้าไว้”
- กฏแห่งการถือกำเนิด กล่าวว่าทุกสิ่งใช้เวลาในการฟักตัว ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นและเติบโตเป็นรูปแบบหนึ่งเมื่อถูกเติมพลังงานเข้าไป ความคิดก็เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ในจิตใจอันอุดมสมบูรณ์ รอที่จะเบ่งบานในรูปของวิถีการกระทำหากเรารดน้ำพรวนดิน เคล็ดลับก็คือ “จงมุ่งมั่นและตระหนักรู้ว่าจุดหมายของคุณจะเป็นจริงเมื่อเวลามาถึง”
- กฏแห่งการแปรสภาพ กล่าวว่าพลังงานเคลื่อนตัวเข้าออกระหว่างรูปกาย ความคิดของคุณคือพลังสร้างสรรค์ ยิ่งคุณมุ่งคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งใช้ประโยชน์จากพลังสร้างสรรค์ขับเคลื่อนพลังในตัวเองให้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น จักรวาลจัดวางระเบียบตัวมันเองจากความคิดของคุณ เคล็ดลับก็คือ “ลงแรง ความพยายาม ความคิด และลงมือเพื่อดึงดูดสิ่งที่คุณต้องการ จากนั้นคุณมั่นใจได้เลยว่าคุณจะดึงดูดสิ่งดังกล่าวเข้ามาหาตัวคุณได้อย่างเป็นรูปธรรม”
การทำสมาธิพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจ ความเยือกเย็นเมื่อเผชิญปัญหา ความรู้สึกในการหลอมรวมเป็นหนึ่งกับจักรวาล รวมถึงพัฒนาความสามารถทางจิตวิญญาณของคุณได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเองเป็นหนึ่งในก้าวแรกที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
4
เพิ่มพลังอำนาจ. จอมเวทย์คือบุคคลที่ทรงอำนาจ อย่างน้อยที่สุดคุณควรรู้วิธีสังเกตลางบอกเหตุ การสร้างไซบอล(ลูกบอลพลังจิต)และโล่ป้องกัน ด้วยสามสิ่งนี้คุณจะกลายเป็นยอดมนุษย์เลยทีเดียว นอกจากนี้คุณยังสามารถสร้างไม้กายสิทธิ์ของตัวเองและเสกให้มันมีพลังขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน
- บางคนอาจบอกคุณว่าคุณงี่เง่า อย่าไปฟังพวกเขาเชียวนะ มนุษย์ทั่วไปใช้สมองเพียง 20% ใช่ไหมล่ะ? แล้วใครจะมาบอกคุณว่าคุณไม่ได้กำลังใช้ 80% ที่เหลืออยู่? คุณไม่สามารถอ่านใจใครได้ก็จริง แต่คุณอาจสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้

วิธีการ 4

วิธีการ 4 ของ 4:

เติมเต็มศักยภาพให้พร้อม

ดาวน์โหลดบทความ

1
อย่าใช้มนตร์ดำ. ในจุดใดจุดหนึ่งมันอาจล่อลวงให้คุณเข้าสู่ด้านมืด “อย่างไม่อาจต้านทานได้” มนตร์ดำไม่อาจนำพาสิ่งใดนอกจากความเจ็บปวดที่จะทวียิ่งขึ้นเรื่อยๆ หากใช้พลังของคุณสำหรับเรื่องดีๆ แล้วหล่ะก็ สิ่งดีงามเหล่านั้นจะทำให้คุณเป็นคนดีขึ้น รวมถึงโลกรอบๆ ตัวคุณด้วย
- หากคุณเชื่อในศาสตร์มืดแล้วหล่ะก็ คุณอาจต้องเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมตามสนอง เชื่อเถอะว่าสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือการที่พลังจักรวาลหันหน้ามาเป็นปรปักษ์คุณ
2
อย่าเข้าร่วมศาสนาหรือลัทธิ. เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกนี้มักใช้เวลาไปกับการบังคับให้คุณเชื่อตามกฏของพวกเขา คุณอาจมีพื้นฐานความเชื่อจากศาสนาหรือลัทธิได้ และบางทีอาจเข้าไปเรียนรู้กับพวกเขาเลยก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณต้องค้นหาสัจธรรมด้วยตัวเอง
- จอมเวทย์ต้องเป็นตัวของตัวเอง คุณอาจเข้าเรียนในสถาบัน แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณต้องเป็นคุณ ไม่ใช่สวมภาพลักษณ์และหรือกักตัวเองไว้ภายใต้นามแห่งสถาบัน คุณเป็นเจตจำนงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวาลนี้
3
อย่าเรียนแค่เวทมนตร์ศาสตร์. แต่ต้องเรียนทั้งวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยและวิทยาศาสตร์ทางเลือกด้วย วิทยาศาสตร์คือมุมมองแห่งความจริงเช่นเดียวกับเวทมนตร์ เพียงแต่เป็นอีกแขนงหนึ่งเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะเพิกเฉยต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความรู้ เพราะสิ่งเหล่านี้คือโครงสร้างพื้นฐานของมนุษยชาติ สิ่งที่คุณต้องทำคือรวมมันเข้าไปในอาณาจักรความรู้อันกว้างขวางของตัวเอง
- วิทยาศาตร์สามารถแสดงให้คุณเห็นโลกที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่ ตั้งแต่อณูเล็กๆ ไปจนถึงขนาดใหญ่มหึมา ที่ใดที่เวทมนตร์ถูกบดบัง ที่นั้นวิทยาศาสตร์จะเผยตัวออกมาแทน หากคุณมีคำถาม อย่าอายที่จะใช้วิทยาศาสตร์อธิบายมัน คุณไม่ได้หักหลังความเป็นพ่อมดหรอก
4
สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์. มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อเทพเจ้า (พระเจ้า จิตวิญญาณ หรือลัทธิใดๆ ก็ตาม) องค์ไหน ไม่ว่าจะอะไร (หรือใคร) ก็ตามแต่ที่คุณนับถือ พวกเขาเหล่านั้นเป็นเส้นทางที่คุณควรดำเนินรอยตาม “คุณ” ต้องสร้างสถานที่เพื่อบูชาพวกเขา โดยไม่จ้างแรงงานแต่เป็น “คุณ” ที่ต้องลงแรง ลงเวลา และลงมือสร้างด้วยตัวเอง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นการอุทิศตนแก่เทพเจ้าของคุณ หรือพระเจ้าองค์ใดๆ ก็ตามที่คุณนับถือ
- คุณควรสร้างแท่นบูชาในวิหารของคุณ หากคุณไม่มีเวลาหรือเงินที่จะสร้างวิหารละก็ ให้สร้างแท่นบูชาแทน
5
ปรารถนาที่จะเข้าใจธรรมชาติของเวทมนตร์. มีทฤษฏีมากมายที่บอกว่าเวทมนตร์ทำงานอย่างไร คุณอาจเริ่มจากการมองผ่านการเปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเอง ผ่านการกระทำของเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลาย หรือแม้แต่ผ่านธรรมชาติพื้นฐานที่สุดของจักรวาลที่เป็นไปตามวัฏจักร ฝึกฝนให้บ่อย และคิดให้มากเข้าไว้
- มองหาพันธมิตรหรือคนที่คล้ายๆ กันเข้าไว้ การรวมกลุ่มกับคนที่ต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกันจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะสิ่งใดในโลกนี้ คุณก็จะสามารถเรียนรู้ได้ แถมยังสอนได้อีกต่างหาก!
6
ปฏิสัมพันธ์กับภูติ. เหล่าบรรดาภูติคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นพันธมิตรกับเรา แม้พวกเขาจะไม่ปรากฏกายให้เราเห็นบ่อยนักก็ตาม สาเหตุก็เป็นเพราะมนุษย์กลายเป็นพวกวัตถุนิยมและไม่น่ารักเอาเสียเลย ภูติเป็นที่รู้กันว่ามีอยู่มากในประเทศไอร์แลนด์ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ปรากฏกายอยู่ทั่วโลก
- มีภูติบางตนพยายามช่วยเหลือมนุษย์ แต่บางตนก็พยายามจะทำลายล้างพวกเรา การสื่อสารกับเหล่าภูติ (อย่างน้อยก็กับภูติที่ใจดี) จะช่วยให้คุณฉลาดขึ้น และช่วยให้เข้าใจธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย ในช่วงแรก ให้ทำทีราวกับว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้นและพยายามตั้งใจฟัง คุณไม่สามารถสื่อสารกับภูติได้หรอกหากคุณไม่ลองพยายามดูสักครั้ง!

เคล็ดลับ

ระวังการเลือกใช้คำ ตัวคุณอาจไม่ใช่คำพูด แต่เมื่อพูด คำพูดจะกลายเป็นตัวคุณ จงระวังให้คำพูดเหล่านั้นแทนตัวคุณอย่างถูกต้อง และแทนความหมายของโลกอย่างตรงไปตรงมา ดังที่อ้างจากคัมภีร์ไบเบิลว่า “ด้วยว่าเป็นเพราะคำพูดของเจ้า เจ้าจึงเป็นอิสระ และด้วยคำพูดของเจ้า เจ้าจึงถูกประณาม” (แมทธิว 12:37)
เมื่อเรียนรู้อำนาจของตัวเองแล้ว อย่าใช้มันจนกว่าคุณจะเข้าใจมันดีพอ