บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Trudi Griffin, LPC, MS. ทรูดี้ กริฟฟินเป็นผู้ให้คำปรึกษามืออาชีพที่มีใบอนุญาตในวิสคอนซิน เธอได้รับปริญญาโทด้านการให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจิตจากมหาวิทยาลัยมาร์เกว็ตต์ในปี 2011
บทความนี้ถูกเข้าชม 5,158 ครั้ง
การเป็นคนกล้าแสดงความต้องการเป็นทั้งทักษะการสื่อสารและพฤติกรรม คนที่กล้าแสดงความต้องการของตัวเองจะแสดงความคิดและความรู้สึกได้อย่างตรงไปตรงมาและเหมาะสม และยังเคารพความคิดเห็น ความรู้สึก และความเชื่อของคนอื่นอีกด้วย[1] การเรียนรู้ที่จะเป็นคนกล้าแสดงออกโดยไม่หยาบคายหรือก้าวร้าวนั้นเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญ
ขั้นตอน
- 1ระบุความต้องการและความรู้สึกของคุณ. หยุดและพิจารณาเวลาที่คุณรู้สึกว่าคนอื่นปฏิบัติต่อคุณอย่างไม่ให้เกียรติ นึกถึงสถานการณ์ที่คุณรู้สึกเหมือนตัวเองถูกบีบบังคับ จากนั้นให้พิจารณาว่าคุณอยากได้รับการปฏิบัติอย่างไรในสถานการณ์เหล่านี้
- เมื่อคุณระบุความต้องการและความรู้สึกของตัวเองได้ คุณก็จะสามารถสร้างความคาดหวังว่าตัวเองอยากได้รับการปฏิบัติอย่างไรในอนาคตได้ด้วย
- 2มีขอบเขตที่ชัดเจน อยู่ในใจ. รู้ว่าคุณเต็มใจที่จะทำอะไรหรืออะไรที่ถือว่าเกินขอบเขตของคุณ ถ้าคุณรู้ขอบเขตของตัวเอง คุณก็จะไม่ต้องควานหาขอบเขตท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด[2]
- เช่น ถ้าน้องชายขอเงินคุณบ่อยๆ และคุณก็ไม่แน่ใจว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ให้กำหนดตัวเลขที่แน่นอนไว้ในใจว่าคุณเต็มใจที่จะให้เท่าไหร่ ถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะให้เงินอีกแล้ว ให้บอกตัวเองก่อนที่คุณจะคุยกับน้องชายอีกครั้ง และเตรียมพร้อมสำหรับการกำหนดขอบเขตของคุณ
- 3อธิบายว่าคุณรู้สึกอย่างไรและต้องการอะไร. ถ้าคุณเป็นคนกล้าแสดงความคิดเห็นของตนเอง คุณจะอธิบายว่าคุณรู้สึกอย่างไรและต้องการอะไรได้โดยไม่หยาบคายหรือก้าวร้าว ทักษะเหล่านี้ช่วยให้คุณยืนหยัดเพื่อตัวเองและยังคงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างให้เกียรติได้ด้วย [3] สื่อความคิดเห็น ความคิด และความรู้สึกของตัวเองอย่างให้เกียรติ ถ้าคุณไม่แน่ใจในการอธิบายความรู้สึกของตัวเอง ให้ลองเขียนออกมาก่อนหรือฝึกว่าจะพูดว่าอะไร[3]
- เช่น คุณอาจจะอยากได้เงินเดือนเพิ่ม แต่คุณยังไม่มีวิธีที่ดีที่จะบอกความต้องการของตัวเองในเรื่องนี้ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือการมีโอกาสที่จะบอกความต้องการของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ และให้คำขอขึ้นเงินเดือนของคุณได้รับการอนุมัติ
- 4ตรงไปตรงมา. การบอกให้คนอื่นรับรู้ความต้องการของตัวเองอาจเป็นเรื่องยากถ้าการเป็นคนน่ารักคือหนึ่งในคุณสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณ คุณอาจจะรู้สึกว่าการบอกให้คนอื่นรู้ความคิดของคุณเป็นสิ่งที่หยาบคาย แต่ในความเป็นจริงนั้นมันไม่หยาบคายเลยสักนิด การพูดอ้อมไปอ้อมมาจะทำให้คุณดูเป็นคนเฉื่อยชาหรือหัวอ่อน แสดงการตระหนักรู้ในตัวเองและจุดแข็งของคุณเพื่อให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการโดยไม่ต้องโต้แย้ง[4]
- อย่าทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเพื่อลดความอึดอัดใจ เช่น ถ้าคุณอยากให้คุณป้าเลิกมาหาโดยไม่บอกกล่าว ให้พูดว่า "คุณป้าอิ๋วคะ ช่วยโทรศัพท์มาบอกหนูก่อนมาเถอะค่ะ หนูจะได้มีเวลาเตรียมตัวต้อนรับคุณป้า" อย่าพูดว่า "คุณป้าอิ๋วคะ รบกวนคุณป้าช่วยโทรศัพท์มาบอกหนูก่อนถ้าคุณป้าจะมาได้ไหมคะ ถ้าคุณป้าสะดวกนะคะ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังไงก็ได้"
- 5อย่าขอโทษที่แสดงความคิดเห็นหรือความต้องการของคุณ. ถ้าคุณเป็นคนกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง คุณจะเป็นเจ้าของความรู้สึกและความต้องการนั้น และคุณจะรู้สึกด้วยว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะมีความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง อย่าขอโทษที่คุณขอในสิ่งที่คุณต้องการ[3]
- 6ฝึกการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดอย่างมั่นใจ. การสื่อสารเกิดขึ้นได้ด้วยคำพูดและภาษากาย[5] วิธีที่คุณแสดงสถานภาพของตัวเองมีผลต่อสถานภาพที่คุณได้รับกลับมา เพื่อให้คุณสามารถสื่อสารโดยไม่ใช่คำพูดได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ให้ฝึกทักษะบางอย่างต่อไปนี้:
- สบตา
- ยืนหรือนั่งในท่าทางที่ดี
- พูดด้วยน้ำเสียงและระดับความดังที่เหมาะสม
- ปล่อยร่างกายสบายๆ และผ่อนคลาย
- 7แสดงความขอบคุณผู้อื่น. เมื่อคุณสื่อสารอย่างมั่นใจแล้ว คุณก็ต้องรับรู้ถึงการที่คนอื่นให้ในสิ่งที่คุณต้องการ คุณยังสามารถขอในสิ่งที่คุณต้องการได้ แต่คุณก็ต้องแสดงความขอบคุณเมื่อคนอื่นยอมให้คุณหรือบอกความรู้สึกของพวกเขา[1] ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะดูเหมือนไม่สนใจคนอื่นและหยาบคาย
- 8จัดการความเครียด. เมื่อคุณเครียด คุณมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งอาจมีผลต่อวิธีการที่คุณตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คุณอาจมีแนวโน้มที่จะตอบโต้อย่างก้าวร้าวหรือเฉื่อยชามากขึ้น การจัดการความเครียดจึงเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารอย่างมั่นใจ[6]
- 9เลือกเวลาพูดคุยให้เหมาะสม. ถ้าคุณเหนื่อยหรือหิว ให้รอจนกว่าคุณจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนา คุณอาจจะหงุดหงิดเร็วขึ้นและดูหยาบคายถ้าคุณไม่ได้อารมณ์ดีมากนัก[3]
- 10ฝึกฝนและอดทน. การเรียนรู้ที่เป็นกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองนั้นต้องใช้เวลาและอาศัยการฝึกฝน เริ่มจากการฝึกเทคนิคกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองในสถานการณ์เล็กๆ ก่อน เช่น บอกเพื่อนว่าคุณไม่อยากดูหนังเรื่องนี้ ค่อยๆ สร้างความกล้าในแต่ละสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วไม่ช้าคุณจะพบว่าตัวเองกล้าแสดงความคิดเห็นในสถานการณ์อื่นๆ ด้วย[7]โฆษณา
- 1ลองเทคนิคแผ่นเสียงตกร่อง. เทคนิคนี้คุณต้องพูดความรู้สึกหรือความต้องการของคุณซ้ำด้วยท่าทีเรียบๆ เมื่อมีใครพยายามโต้แย้งหรือเบี่ยงเบนความสนใจของคุณ (เช่น "ช่วยเลิกพูดมุกเหยียดเพศสักทีเถอะ" "ฉันว่ามุกเหยียดเพศไม่เห็นจะขำตรงไหน") เทคนิคนี้เป็นวิธีที่คุณจะได้ยึดถือหลักการของคุณโดยไม่ดูหมิ่นอีกฝ่าย[8]
- เช่น คุณพยายามคืนสินค้าที่เสียหายกับทางร้านค้าเพื่อขอเงินคืน ถ้าพนักงานพยายามเสนอทางเลือกอื่นให้คุณ (บอกว่าจะซ่อมสินค้าให้หรือบอกคุณว่ามันไม่ได้เสีย) ให้พูดย้ำว่าคุณต้องการเงินคืน
- เทคนิคนี้เป็นวิธีแสดงความต้องการของตัวเองอย่างมั่นใจมากกว่าจะเป็นการแสดงออกที่หยาบคาย เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำให้คุณได้ชี้ให้เห็นความต้องการของตัวเองด้วยการพูดอย่างชัดเจนว่าคุณต้องการอะไรโดยที่ไม่ได้แสดงความหยาบคาย ภาษากายและโทนเสียงสำคัญมากสำหรับเทคนิคนี้ คุณต้องไม่ตะโกนหรือปฏิบัติกับคนอื่นไม่ดี คำพูดธรรมดาของคุณมีอำนาจมากพอแล้ว
- 2ลองเทคนิคพูดคลุมเครือ. พูดว่า“ที่คุณว่ามาก็อาจจะใช่” เมื่อมีใครพยายามดึงคุณเข้าไปโต้แย้งด้วย วิธีนี้เป็นการแสดงออกว่าคุณรู้ว่าความคิดเห็นของอีกฝ่ายนั้นอาจจะมีส่วนถูก แต่คุณก็ยังคงมั่นใจในจุดยืนของคุณ การเห็นด้วยไม่ได้หมายความว่าคุณจะถอยกลับและเปลี่ยนใจ[3]
- เช่น ถ้ามีใครพูดว่า “ผมเธอดูเด๋อ” คุณก็อาจจะตอบกลับว่า “ที่เธอว่ามาก็อาจจะใช่” ถ้าเขาพูดต่อว่า “เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ ว่าเธอน่ะดูเด๋อด๋าขนาดไหน” ก็ให้ตอบกลับว่า “ที่เธอพูดก็อาจจะถูก แต่เดี๋ยวมันก็ยาว”
- เทคนิคนี้เป็นการโต้ตอบอย่างมั่นใจมากกว่าจะหยาบคาย เพราะคุณเห็นด้วยกับศัตรูของคุณ คุณทำให้เขาไม่สามารถเถียงคุณกลับได้และทำให้บทสนทนาไม่สามารถไปต่อได้ การที่อีกฝ่ายจะโต้เถียงกับคุณทั้งๆ ที่คุณอาจจะเห็นด้วยกับเขานั้นเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้การพูดว่า “เธอ ‘อาจจะ’ พูดถูก” ไม่ได้บอกว่าคนที่มาเกะกะระรานคุณพูดถูกจริงๆ แค่อาจจะถูกเท่านั้น เพราะใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะมีความคิดเห็นอย่างไรก็ได้
- 3ขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่าฉัน. เทคนิคนี้เป็นเทคนิคทั่วไปที่สอนในคอร์สฝึกกล้าแสดงความคิดเห็นในเกือบทุกคอร์ส ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าฉันก็คือการที่คุณเริ่มต้นประโยคด้วยการพูดว่า “ฉัน…” วิธีนี้ประสบความสำเร็จเพราะมันเป็นการเน้นไปที่ความต้องการของคุณโดยไม่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม คุณให้อีกฝ่ายได้คิด รู้สึก และทำในสิ่งที่ดีสุดสำหรับพวกเขา
- การขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่าฉันเป็นเทคนิคที่แสดงถึงความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากกว่าจะหยาบคายเพราะคุณกำลังรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง คุณไม่ได้กล่าวโทษอีกฝ่าย ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “ฉัน” เป็นวิธีสื่อสารกันอย่างเปิดใจเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไข
- ตัวอย่างประโยคที่ขึ้นต้นด้วยฉัน: “ฉันโกรธเวลาที่คุณเหน็บแนมฉัน” “ฉันรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเวลาที่คุณเอาความต้องการของตัวเองมาก่อนความต้องการของฉัน” หรือ “ฉันเจ็บปวดเวลาที่คุณพูดกับฉันแบบนั้น”
- 4สุภาพแต่หนักแน่น. อยู่ในขอบเขตของความสุภาพขณะที่คุณแสดงความคิดเห็นของตัวเอง หลังจากที่คุณพูดในสิ่งที่คุณต้องพูดแล้ว ให้ฟังอีกฝ่ายพูดบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องขึ้นเสียงเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินคุณ การทำตัวสุขุมและเยือกเย็นจะทำให้คุณฟังดูมีอำนาจ (และมีความสุภาพ) มากกว่า
- ก็คือหลีกเลี่ยงท่าทีที่ยิ้มแย้มหรือหัวเราะคิกคักมากเกินไปหลังจากที่คุณพูดออกไปแล้ว คุณสามารถสุภาพได้โดยไม่ต้องลดความสำคัญของตัวเอง ใช้วิธีนี้ทำให้สถานการณ์ดูจริงจังน้อยลงก็ต่อเมื่อมันเหมาะสมกับเรื่องที่คุณกำลังพูดเท่านั้น
โฆษณา
- 1เข้าใจว่าความหยาบคายคืออะไร. ความหยาบคายคือการไม่ให้เกียรติคนอื่น ความรู้สึกของคนอื่น ความเชื่อของคนอื่น และความคิดเห็นของคนอื่น เมื่อใครทำกิริยาหยาบคาย เขาก็มักจะเหน็บแนม โกรธเคือง ปรามาส หรือเกะกะระรานผู้อื่น
- ความหยาบคายยังรวมถึงการตะคอก ใช้ภาษาหยาบคาย ข่มขู่ ทำท่าทางบังคับขู่เข็ญ เช่น ชี้นิ้วหรือแม้กระทั่งผลัก[9]
- เช่น ริวกับโจ้ถ่างตารอต่อแถวบัตรคอนเสิร์ตทั้งคืน พวกเขาตื่นเต้นมากที่สุดท้ายแถวก็ขยับสักที พวกเขาเก็บเงินมาหลายสัปดาห์เพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ตนี้ แต่จู่ๆ ก็มีพวกผู้ชายที่แก่กว่ามาแทรกแถวหน้าริวกับโจ้ ริวก็บอกว่า “เฮ้ย พวกเรารอมาทั้งคืนแล้วนะ จะมาแซงหน้ากันอย่างงี้ได้ยังไง” แล้วหนึ่งในพวกอันธพาลก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ริว เอานิ้วจิ้มหน้าอกริวแรงๆ เพื่อซ้ำสิ่งที่เขาตะคอกว่า “ดูสิไอ้พวกโง่ นี่ไม่ได้ขยับเลย เพราะงั้นหุบปากไปซะ”
- นี่เป็นตัวอย่างของความหยาบคาย พวกอันธพาลไม่เคารพสิทธิ์และความคิดเห็นของริวกับโจ้ เขาปรามาส ตะคอก ใช้ภาษาหยาบคาย และใช้ภาษากายที่ส่อถึงการคุกคาม
- 2เข้าใจว่าการกล้าแสดงความต้องการของตัวเองคืออะไร. การเป็นคนกล้าแสดงความต้องการของตัวเองก็คือการ “แสดงความเป็นตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืนหยัดเพื่อปกป้องความคิดเห็นของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็เคารพสิทธิและความเชื่อของผู้อื่นด้วย”[2] การกล้าแสดงความต้องการของตัวเองเกี่ยวข้องกับทุกทักษะการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการหมายความตามที่พูด การกระทำ ภาษากาย น้ำเสียง และสีหน้า เวลาที่ใครกล้าที่จะสื่อสารความต้องการของตัวเอง ส่วนประกอบทั้งหมดจะสอดคล้องกัน พูดง่ายๆ ก็คือการกล้าแสดงความต้องการของตัวเองก็คือการมั่นใจโดยไม่ก้าวร้าวนั่นเอง
- 3สังเกตว่าคนที่กล้าแสดงความต้องการของตัวเองจะควบคุมความโกรธได้. บางครั้งคุณก็อาจจะรู้สึกโกรธ และบางครั้งคุณก็มีเหตุผลที่ควรจะโกรธเอามากๆ คนที่กล้าแสดงความต้องการของตัวเองจะพูด ให้เกียรติอีกฝ่ายในขณะที่พูดอย่างตรงไปตรงมาตามสมควร ในขณะที่คนก้าวร้าวจะระเบิดอารมณ์ใส่อีกฝ่าย (ด้วยคำพูดหรือการกระทำ)
- คนที่กล้าแสดงความต้องการของตัวเองจะวิจารณ์ความคิด/พฤติกรรม ไม่ใช่ตัวบุคคล การพูดว่า "การที่คุณพาดพิงเชื้อชาติกับมาวมันฟังแล้วเจ็บปวดมากเลยนะ" นั้นต่างจาก "แกมันไอ้สวะเหยียดเชื้อชาติ"
- 4ตระหนักถึงการให้เกียรติผู้อื่น. การกล้าแสดงความต้องการของตัวเองนั้นมีรากฐานมาจากการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ให้เกียรติกันและกัน คุณก็จะไม่กล้าสื่อสารความต้องการของตัวเอง แต่บทสนทนานั้นจะเต็มไปด้วยความก้าวร้าวและความเฉื่อยชาแทน เมื่อคุณให้เกียรติความรู้สึกของกันและกัน คุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณต้องการโดยไม่ก้าวก่ายใคร [1]โฆษณา
- 1รู้ว่าการตอบโต้อย่างก้าวร้าวเป็นอย่างไร. สไตล์การสื่อสารเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้มาตั้งแต่วัยกระเตาะ เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะยากที่จะบอกว่าการกล้าแสดงความต้องการของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร[10] ถ้าเด็กสังเกตปฏิสัมพันธ์ที่ก้าวร้าว เขาก็มักจะจดจำสไตล์การสื่อสารแบบนั้น บางคนอาจจะตอบโต้คุณอย่างก้าวร้าวเมื่อคุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการ เพราะอีกฝ่ายเขารู้สึกว่าตัวเองตกที่นั่งตั้งรับและรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม[3] การตอบโต้อย่างก้าวร้าวมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- คนหนึ่งอาจจะพูดว่า “แขกของเราจะมาถึงตอนไหนก็ได้ คุณคิดว่าคุณจะเอาเสื้อเชิ้ตที่ซักแล้วมาให้ผมได้ภายในชาตินี้หรือเปล่า” แล้วอีกฝ่ายก็ตอบโต้ว่า “ฉันต้องจัดการอาหารให้พร้อมก่อน ทำไมคุณไม่ย้ายก้นขี้เกียจๆ ของคุณไปเอาเสื้อเชิ้ตสะอาดๆ มาเองล่ะ” ทั้งสองฝ่ายต่างก็สื่อสารอย่างก้าวร้าว ต่างฝ่ายต่างอยากจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่นึกถึงอีกฝ่าย
- 2รู้ว่าการตอบโต้อย่างเฉื่อยชาเป็นอย่างไร. เวลาที่มีใครได้ในสิ่งที่เขาต้องการในสถานการณ์นั้นๆ คุณก็อาจจะรู้สึกไม่พอใจ โกรธ หรือเหมือนโดนเอาเปรียบ ถ้าคุณตอบโต้อย่างเฉื่อยช้า คุณก็จะไม่ได้ต่อสู้เพื่อสิ่งที่คุณต้องการ[3] การตอบโต้อย่างเฉื่อยชามีลักษณะดังต่อไปนี้:
- คนหนึ่งอาจจะพูดว่า “แขกของเราจะมาถึงตอนไหนก็ได้ คิดว่าคุณจะเอาเสื้อเชิ้ตที่ซักแล้วมาให้ผมได้ภายในชาตินี้หรือเปล่า” แล้วอีกฝ่ายก็ตอบโต้ว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันว่าอาหารก็คงจะเสร็จช้าละนะ ถ้าทุกคนบ่นก็อย่ามาว่าฉันก็แล้วกัน” คนแรกก้าวร้าวและคนที่สองก็ตอบโต้อย่างเฉื่อยชา คนหนึ่งจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการในขณะที่อีกคนหนึ่งไม่ได้ต่อสู้เพื่อความต้องการของตัวเอง
- 3ตัดสินใจว่าคุณจะตอบโต้อย่างหนักแน่นฝ่ายเดียวหรือเปล่า. แม้ว่าอีกฝ่ายจะก้าวร้าวหรือเฉื่อยชา ก็ให้ตอบโต้อย่างหนักแน่น ปกป้องสิทธิและความรู้สึกของตัวเองด้วยการบอกอีกฝ่ายว่าคุณไม่ชอบอะไร บอกอีกฝ่ายว่าคุณต้องการอะไร[3]
- คนหนึ่งอาจจะพูดว่า “แขกของเราจะมาถึงตอนไหนก็ได้ คุณคิดว่าคุณจะเอาเสื้อเชิ้ตที่ซักแล้วมาให้ผมได้ภายในชาตินี้หรือเปล่า” อีกฝ่ายสามารถตอบโต้อย่างหนักแน่นได้ด้วยการพูดว่า: “เสื้อเชิ้ตที่ซักแล้วแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ฉันต้องจัดการอาหารให้เสร็จก่อน” แม้ว่าคำขอของคนแรกจะยังก้าวร้าวและประชดประชัน แต่คนที่สองสามารถเลือกที่จะตอบโต้อย่างหนักแน่นได้ เธอสามารถปกป้องสิทธิและความรู้สึกของตัวเองได้ด้วยการบอกคนแรกว่า เธอไม่ชอบการประชดประชันและเธอก็จะขอบคุณมากถ้าเขาเห็นว่าทั้งคู่ต่างก็ยุ่งกับการเตรียมงานเลี้ยงให้เรียบร้อย
- 4รู้ว่าการตอบโต้อย่างหนักแน่นเป็นอย่างไร. ในการตอบโต้อย่างหนักแน่นนั้น ทั้งคุณและอีกฝ่ายต่างก็รู้สึกให้เกียรติและรับฟังซึ่งกันและกัน [3] แม้ว่าคุณจะได้เรียนรู้การตอบโต้อย่างก้าวร้าวหรือเฉื่อยชามาตลอด คุณก็สามารถที่จะเรียนรู้การสื่อสารอย่างหนักแน่นและให้เกียรติอีกฝ่ายได้[6]
- คนหนึ่งอาจจะพูดว่า “แขกของเราจะมาถึงตอนไหนก็ได้ ผมมีเสื้อเชิ้ตซักแล้วบ้างไหม” อีกฝ่ายอาจจะตอบว่า “มีค่ะ ในตู้เสื้อผ้ามีหลายตัวเลย ฉันขอเวลาอีก 5 นาทีจัดการเรื่องอาหารก่อนนะคะ” ทั้งสองคนต่างก็บอกความต้องการของตัวเองโดยที่ยังให้เกียรติอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 http://www.skillsyouneed.com/ps/assertiveness.html
- ↑ 2.0 2.1 http://www.mayoclinic.org/healthy-living/stress-management/in-depth/assertive/art-20044644
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 http://www.childline.org.uk/Explore/FeelingsEmotions/Pages/being-assertive.aspx
- ↑ http://psychcentral.com/lib/5-tips-to-increase-your-assertiveness/00010836/2
- ↑ http://www.uwosh.edu/couns_center/self-help/assertiveness/non-verbal-assertive-behaviors
- ↑ 6.0 6.1 http://www.skillsyouneed.com/ps/assertiveness2.html
- ↑ http://www.mayoclinic.org/healthy-living/stress-management/in-depth/assertive/art-20044644?pg=2
- ↑ http://www.gp-training.net/training/leadership/assertiveness/broken.htm
- ↑ http://www.workingatmcmaster.ca/med/document/CYWTH_Apr_2011_VcrEN-1-37.pdf
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.