ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความบทความนี้ร่วมเขียนโดยเหล่าบรรณาธิการและนักวิจัยที่ผ่านการฝึกฝนมาเพื่อความถูกต้องและครอบคลุมของเนื้อหา
ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้
บทความนี้ถูกเข้าชม 187,116 ครั้ง
บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการออกจาก Safe Mode ของมือถือหรือแท็บเล็ต Android ปกติมือถือหรือแท็บเล็ต Android จะเข้า Safe Mode ตอนระบบปฏิบัติการ error หนัก หรือมีแอพ third-party (เดียวหรือหลายแอพ) เป็นต้นเหตุให้ทำงานผิดพลาด คุณปิด Safe Mode ได้โดยรีสตาร์ท Android หรือลบแอพที่เสียทิ้งไป
ขั้นตอน
เช็คก่อนว่า Android อยู่ใน Safe Mode. ถ้ามีคำว่า "Safe mode" ขึ้นที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ แสดงว่า Android อยู่ใน Safe Mode- ถ้าไม่มีคำนี้ขึ้น แสดงว่า Android ไม่ได้อยู่ใน Safe Mode แต่ก็ต้องรีสตาร์ทอยู่ดีถ้า Android อืดหรือใช้งานบางอย่างไม่ได้
ลองใช้แถบ Notifications. บางทีก็ปิด Safe Mode ได้โดยแตะข้อความแจ้งเตือน Safe Mode ในแถบ Notifications[1]- ปลดล็อค Android
- ปัดหน้าจอลงมาจากด้านบนของหน้าจอ
- แตะแจ้งเตือน "Safe mode is turned on" ถ้ามี
- ถ้าไม่เจอแจ้งเตือนนี้ ให้ข้ามไปขั้นตอนถัดไป
- แตะ RESTART หรือ RESTART NOW ตอนที่ขึ้น
กดปุ่ม Power ของ Android ค้างไว้. ปกติปุ่ม Power จะอยู่ทางขวาของเครื่อง Android
แตะ Power off ตอนที่ขึ้น. เพื่อให้ Android เริ่ม shut down- อาจจะต้องแตะ Power off อีกรอบเพื่อยืนยันตัวเลือก
รอจน Android ปิดสนิท. ขั้นตอนนี้จะใช้เวลา 2 - 3 นาที
เปิด Android กลับมา. กดปุ่ม Power ค้างไว้ พอเห็นหน้าบูทเข้า Android ก็ปล่อยปุ่มได้เลย
รอจน Android รีสตาร์ทเสร็จ. พอ Android เปิดเครื่องกลับมา ก็จะออกจาก Safe Mode เรียบร้อย- ถ้า Android ยังอยู่ใน Safe Mode ให้ลองปิดเครื่องอีกรอบ แล้วถอดแบตสัก 2 - 3 นาที จากนั้นเปิดขึ้นมาใหม่
โฆษณา
ต้องรู้ว่าแอพไหนเป็นต้นเหตุของปัญหา. แอพอันตรายหรือแอพที่เสียหาย เป็นสาเหตุยอดนิยมที่ทำให้มือถือหรือแท็บเล็ต Android บูทเข้า Safe Mode ถ้า Android ถ้าก่อนติดตั้งแอพนั้น ไม่เคยมีปัญหาบูทเข้า Safe Mode แสดงว่าแอพนั้นละเป็นต้นเหตุ- เวลาจะถอนการติดตั้งแอพไม่พึงประสงค์ บางทีก็ต้องลองผิดลองถูก เพราะงั้นให้เริ่มจากแอพที่โหลดขึ้นมาทันทีเวลาเปิด Android (เช่น widgets ต่างๆ ที่หน้า Home)[2]
- คุณเช็คได้ว่าแอพที่จะถอนการติดตั้งนั้นก่อปัญหา โดยเอาไปค้นในเน็ตว่ามีผู้ใช้อื่นๆ ประสบปัญหาเดียวกันหรือเปล่า
เปิด Settings ของ Android. แตะไอคอนของแอพ Settings ใน App Drawer- หรือปัดหน้าจอลงมาจากด้านบน เพื่อเปิดแถบ Notifications แล้วแตะฟันเฟือง Settings ตรงนั้น
- หรือปัดหน้าจอลงมาจากด้านบน เพื่อเปิดแถบ Notifications แล้วแตะฟันเฟือง
เลื่อนลงไปแตะ Apps. ปกติจะอยู่กลางหน้า Settings- Android บางเครื่องต้องแตะ Apps & notifications แทน
เลือกแอพ. แตะแอพที่จะถอนการติดตั้ง หน้าของแอพนั้นจะเปิดขึ้นมา- อาจจะต้องเลื่อนลงมาก่อนถึงจะเจอแอพนั้น
- Android บางเครื่องอาจจะต้องแตะ App info ก่อน
แตะ UNINSTALL. ทางด้านบนของหน้า- ถ้าเป็นแอพระบบ ต้องแตะ DISABLE แทน
แตะ UNINSTALL ตอนที่ขึ้น. เพื่อลบแอพนั้นจาก Android- ย้ำว่าถ้าเป็นแอพระบบ ต้องแตะ DISABLE แทน
รีสตาร์ท Android. พอรีสตาร์ท Android แล้ว ก็จะปิด Safe Mode เรียบร้อยโฆษณา
เคล็ดลับ
คำเตือน
- Safe Mode เป็นวิธีที่ระบบใช้จัดการกับ error หรือ malware ใน Android ถ้า Android ของคุณบูทเข้า Safe Mode เรื่อยๆ แสดงว่ามีอะไรผิดปกติ ต้องรีบแก้ไข
ข้อมูลอ้างอิง
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้ บทความนี้ถูกเข้าชม 187,116 ครั้ง
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.
