ดาวน์โหลดบทความดาวน์โหลดบทความX
บทความนี้ร่วมเขียนโดยเหล่าบรรณาธิการและนักวิจัยที่ผ่านการฝึกฝนมาเพื่อความถูกต้องและครอบคลุมของเนื้อหา
ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้
บทความนี้ถูกเข้าชม 62,040 ครั้ง
กลิ่นเหม็นของเท้าและรองเท้าสามารถก่อความรำคาญและความอับอายได้ และแน่นอน มันเป็นปัญหาใหญ่ในการเข้าสังคม เพราะผู้คนจะถอยห่างจากคุณไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม หาทางกำจัดกลิ่นรองเท้าของคุณเสียตั้งแต่ตอนนี้ คุณจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอยู่ตลอดเพราะต้องซื้อรองเท้าใหม่หรือหาเพื่อนใหม่ เพียงทำตามวิธีต่าง ๆ ต่อไปนี้ ปัญหารองเท้าเหม็นก็จะหมดไป
ขั้นตอน
หาสาเหตุ. หยุดและสังเกตดูรองเท้าของคุณก่อนจะหาทางกำจัดกลิ่น ถ้าแผ่นรองพื้นรองเท้าชื้นหรือทรุดโทรม ให้นำออกมาทำให้แห้ง หรือซื้อแผ่นรองพื้นรองเท้าใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียโดยเฉพาะ
ทำให้รองเท้าแห้งด้วยการตากกับฮีตเตอร์หรือตากแดด. นำเชือกและลิ้นรองเท้าออกมาเพื่อให้รองเท้าแห้งเร็วขึ้น การทำให้รองเท้าแห้งอยู่เสมอจะช่วยป้องกันการเจริญของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
ซื้อแผ่นรองพื้นรองเท้าที่ทำจากไม้ซีดาร์. ไม้ซีดาร์สามารถป้องกันเชื้อราและการเกิดกลิ่นเหม็นได้ นอกจากนี้ ไม้ซีดาร์ยังมีกลิ่นสะอาดสดชื่นอ่อน ๆ ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งในการกำจัดกลิ่นเหม็นและป้องกันการเจริญของแบคทีเรีย
แช่แข็งรองเท้า. นำรองเท้าเหม็น ๆ ของคุณใส่ลงในถุงพลาสติก และนำเข้าช่องแช่แข็งข้ามคืน วันรุ่งขึ้นจึงนำไปตากแดดให้ละลายเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด- ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่าวิธีนี้กำจัดกลิ่นรองเท้าได้ผลหรือไม่ วิธีนี้มาจากความคิดที่ว่าการแช่แข็งรองเท้าช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น แต่บางคนบอกว่าวิธีนี้สามารถขจัดกลิ่นเหม็นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ลองด้วยตัวคุณเองและคุณก็จะรู้ว่าผลเป็นอย่างไร
- ใช้แผ่นอบผ้า. ม้วนแผ่นอบผ้า (ที่คุณใส่ในเครื่องอบผ้าหรือใส่รวมกับเสื้อผ้า) 1-2 แผ่น ให้เป็นก้อน และใส่ในรองเท้าหลังใช้งานแล้ว แผ่นอบผ้าจะทำให้รองเท้ามีกลิ่นหอมและขจัดความชื้นของรองเท้าที่ยังเหลืออยู่
ใช้เครื่องทำไอน้ำ หรือระบบไอน้ำของเครื่องซักผ้าหรือเครื่องอบผ้า. ไอน้ำอาจจะช่วยกำจัดแบคทีเรียและเชื้อรา รวมถึงกลิ่นเหม็น ถ้าคุณไม่กังวลที่รองเท้าจะชื้นสักหน่อยก็ลองใช้วิธีนี้ดู
นำเปลือกส้ม ส้มโอ หรือมะนาว ใส่ในรองเท้า. เปลือกผลไม้เหล่านี้มีกลิ่นหอมมากเพราะน้ำมันหอมระเหยของมัน ใส่เปลือกผลไม้เหล่านี้ไว้ในรองเท้าข้ามคืนและนำออกก่อนใส่ รองเท้าจะมีกลิ่นหอมขึ้นมาก
หยดน้ำมันลาเวนเดอร์ใส่รองเท้าสักนิด. หยดเพียง 1-2 หยด ลงบนแผ่นรองพื้นรองเท้าแต่ละข้างก็พอ น้ำมันลาเวนเดอร์จะป้องกันแบคทีเรียและแทนที่กลิ่นเหม็นด้วยกลิ่นหอมสดชื่นโฆษณา
- ใช้ผงโรยเท้ากำจัดเชื้อราหรือสเปรย์ป้องกันแบคทีเรีย. สองอย่างนี้สามารถหาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ หรือร้านขายยาทั่วไป
- ผงโรยเท้ากำจัดเชื้อรามักจะใช้รักษาโรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต โรคน้ำกัดเท้าสามารถก่อให้เกิดกลิ่นเท้าและรองเท้าได้ แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นโรคน้ำกัดเท้า รองเท้าก็สามารถมีกลิ่นเหม็นได้เช่นกัน
- ถ้าคุณเป็นโรคน้ำกัดเท้าจริง ๆ ให้ใช้ครีม โลชั่น หรือน้ำมันสกัดจากต้นชา ทาเท้าเพื่อกำจัดเชื้อรา น้ำมันต้นชามีคุณสมบัติขจัดเชื้อราและยังมีกลิ่นหอมธรรมชาติ นวดฝ่าเท้าด้วยน้ำมันจะช่วยรักษาโรคน้ำกัดเท้าได้
นำแผ่นรองพื้นและเชือกรองเท้าออก และใส่รองเท้าในหมอนอิง. ซักรองเท้าด้วยการปั่นในน้ำอุณหภูมิ 4-10 องศาเซลเซียส และปั่นซ้ำอีกครั้งทันทีที่ปั่นรอบแรกเสร็จ หลังจากนั้นให้นำรองเท้าไปตากลมจนแห้ง- ใส่เบคกิ้งโซดาในรองเท้าเจ้าปัญหา. ถ้าวิธีใส่ช่องแช่แข็งไม่ได้ผล ให้ใส่เบคกิ้งโซดาลงในรองเท้าพอประมาณและปล่อยให้มันดูดซับกลิ่นเหม็นข้ามคืน เบคกิ้งโซดาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก รวมถึงกำจัดเชื้อรา
- ถ้าผสมเบคกิ้งโซดากับผงสังกะสีออกไซด์จะได้เป็นผงขจัดเชื้อราและกลิ่นเหม็น ผสมเบคกิ้งโซดาและผงสังกะสีออกไซด์ในปริมาณเท่า ๆ กัน ใช้กับรองเท้า และปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน ผงสังกะสีมีคุณสมบัติป้องกันกลิ่นเหม็นและแบคทีเรีย[1]
- วันถัดมาให้เทผงทั้งสองอย่างออกจากรองเท้าก่อนใส่ ผงสีขาวจะได้ไม่ทำให้คุณเลอะเทอะหรือหล่นตามทางที่คุณเดินทั้งวัน
ลองซื้อสเปรย์ดับกลิ่นมาใช้. แบคทีเรียหรือแอนไซม์ส่วนใหญ่ที่ทำให้รองเท้าสึกกร่อนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น- ใช้แอลกอฮอล์. เช็ดรองเท้าที่ซักไม่ได้ด้วยสำลีก้อนหรือแผ่นใส่แอลกอฮอล์ จะช่วยขจัดสาเหตุของกลิ่นเจ้าปัญหาและทำให้คุณกลับมาใส่รองเท้าได้เต็มที่เหมือนเดิม นอกจากแอลกอฮอล์จะเป็นน้ำยาล้างแผลแล้วยังระเหยได้เร็ว นอกจากนี้ หากผสมแอลกอฮอล์กับของเหลวชนิดอื่นก็จะทำให้ของเหลวชนิดนั้น ๆ ระเหยเร็วขึ้นอีกด้วย
- ใช้ทรายแมวที่ยังไม่ได้ใช้. การใช้ทรายแมวดับกลิ่นเหม็นอาจจะดูประหลาดไปสักหน่อย แต่มันก็ได้ผล ทรายแมวมีคุณสมบัติป้องกันกลิ่นเหม็นได้ดี วิธีการใช้ก็คือ ใส่ทรายแมวที่ยังไม่ได้ใช้ในถุงเท้า มัดปม และวางทิ้งไว้ในรองเท้าข้ามคืน
- ใช้น้ำและน้ำส้มสายชู. นำน้ำเปล่าและน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่งผสมกัน และสเปรย์ใส่ทั้งพื้นและแผ่นรองพื้นรองเท้า ผึ่งลมให้แห้งเป็นเวลา 30 นาที คุณจะใช้ไดร์เป่าผมเป่ารองเท้าให้แห้งก็ได้ถ้าคุณรีบ หลังจากนั้นให้ใส่เบคกิ้งโซดาทิ้งไว้ข้ามคืนโฆษณา
เคล็ดลับ
- รองเท้าหรือถุงน่องที่ใส่ทรายแมวแล้วผูกเป็นปมไว้สามารถเก็บไว้ใช้ได้ทุกวัน คุณสามารถใส่ถุงนี้ไว้ในรองเท้าทุกเย็นและปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อขจัดกลิ่นเหม็น
- ทำความสะอาดเท้าก่อนใส่รองเท้าและอย่าลืมใส่ถุงเท้าสะอาด ๆ
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
นักเขียนในทีมวิกิฮาว
บทความนี้ร่วมเขียนโดยเหล่าบรรณาธิการและนักวิจัยที่ผ่านการฝึกฝนมาเพื่อความถูกต้องและครอบคลุมของเนื้อหา
ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้ บทความนี้ถูกเข้าชม 62,040 ครั้ง
ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้ บทความนี้ถูกเข้าชม 62,040 ครั้ง
หมวดหมู่: รองเท้า
มีการเข้าถึงหน้านี้ 62,040 ครั้ง
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
⚠️ Disclaimer:
Content from Wiki How ไท language website. Text is available under the Creative Commons Attribution-Share Alike License; additional terms may apply.
Wiki How does not encourage the violation of any laws, and cannot be responsible for any violations of such laws, should you link to this domain, or use, reproduce, or republish the information contained herein.
- - A few of these subjects are frequently censored by educational, governmental, corporate, parental and other filtering schemes.
- - Some articles may contain names, images, artworks or descriptions of events that some cultures restrict access to
- - Please note: Wiki How does not give you opinion about the law, or advice about medical. If you need specific advice (for example, medical, legal, financial or risk management), please seek a professional who is licensed or knowledgeable in that area.
- - Readers should not judge the importance of topics based on their coverage on Wiki How, nor think a topic is important just because it is the subject of a Wiki article.
โฆษณา
